“มิลลิ” คือความสำเร็จหลายมิติ ในบทบาทความเป็นแร็พเปอร์หญิงได้สร้างปรากฏการณ์ในวงการเพลงไทย ด้วยวัยเพียง 19 ปี พาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินระดับอินเตอร์เนชั่นแนลของเอเชีย และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับโลกเห็นได้ชัดจากจำนวนยอดวิวของเพลง Mirror Mirror เพลงที่มิลลิร้องร่วมกับศิลปินรุ่นพี่ F.Hero และศิลปินเกาหลี Changbin แห่งวง Stray Kids ที่พุ่งทะยานเข้าสู่หลัก 70 ล้านวิวในยูทูบในเวลา 6 เดือน

กว่าจะเป็นมิลลิในวันนี้ในชีวิตจริง มิลลิ มีผู้ชายที่สอนให้มิลลิคิด แรงส่งสำคัญทำให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว

ภูดิท คณาธีรกุล “พ่อแอ้ม” และ นันท์นิชา จารุจารีต “แม่แหม่ม” ทั้งพ่อและแม่มีอาชีพไกด์ทัวร์ในวันที่ “มิลลิ” กลับจากคอนเสิร์ต เราได้มีโอกาสคุยกับ “พ่อแอ้ม” บอกเล่าถึงความเป็นตัวตน “มิลลิ”

พ่อเมล็ดพันธุ์แห่งการอ่าน สร้าง “มิลลิ” เด็กกิจกรรม นักเล่านิทาน นักพูด

พ่อแอ้มเล่าว่า ในวัยเด็กน้องไม่มีแววด้านดนตรีและการร้องเพลงเลย แต่พ่อแม่มีจุดยืนเหมือนกันคือต้องการให้ลูกทำกิจกรรม เพราะสมัยพ่อเรียนนิติศาสตร์อยู่ที่ ม.รามคำแหง เป็นนักกิจกรรมตัวยง และไม่ได้คาดหวังว่ามิลลิจะต้องเป็นคนเก่ง แต่ต้องการให้เขาเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก ส่วนเรื่องเรียนพยายามให้มิลลิเรียนอยู่ในระดับเกณฑ์ปกติ มิลลิทำกิจกรรมตั้งแต่เรียนประถม ก็เข้าชมรมการแสดงบ้าง เต้นบ้าง ประกวดตอบคำถาม ประกวดเล่านิทาน และตอน ป.5 ป.6 ให้เขาไปเรียนฝึกการพูด จนมามัธยมเขาก็เรียนโรงเรียนสตรีนนท์ ช่วง ม.ต้น เล่นละครสั้นภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อจะเล่านิทานให้เขาฟังเสมอทำให้เขาเล่านิทานเก่ง ช่วง ม.ปลาย เขาก็ได้รางวัลเล่านิทานภาษาอังกฤษ

พ่อแอ้ม เล่าว่าตัวเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือและถ่ายทอดสู่ลูก เวลาไปห้างก็จะไปร้านหนังสือกัน 2 พ่อลูก เมื่ออ่านจบแล้วมานั่งถกกันว่าหนังสือให้อะไรบ้าง หนังสือเล่มแรกที่น้องอ่าน เรื่อง “หว่านฝันด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งจินตนาการ” (รวมนิทานมูลนิธิเด็ก) สำหรับพ่อเป็นหนังสือที่ดีมาก หลัง ๆ พอเขาโตขึ้นก็เริ่มให้อ่านหนังสือหนัก ๆ หนังสือของ สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมล คีมทอง ถ้าเขาชอบเราก็จะซื้อให้เขาเล่มหนึ่งเป็นกติกาเมื่อออกไปห้าง ส่วนใหญ่เขาจะไม่เรียกร้องซื้อ เพราะเขาจะบอกว่าหนูอ่านจบแล้วในร้าน

คือเราก็ไม่ได้อยากให้เขารักการอ่านหรอก แต่เราแค่อยากให้เขาอ่านแล้วเอาไปคิดแค่นั้น คือผมต้องการสอนลูกให้คิดเป็น ก็คุยกับลูกว่า ระหว่างคนคิดเป็นกับคนคิดได้ลูกชอบอะไร เขาก็จะบอกว่าคิดเป็นไหมพ่อ คือเหมือนเราให้เขาเลือกว่าเกือบได้กับเกือบตกเลือกอะไร เขาก็จะบอกว่าเกือบตกไหมพ่อ เราก็จะบอกว่าใช่ เกือบตกคือไม่ตก แต่เกือบได้คือมันตกไปแล้ว

นอกจากนี้เวลาทำงานออกทัวร์ทั้งพ่อแอ้มและแม่แหม่ม จะพาลูกไปทุกครั้งที่มีโอกาสเพราะกิจกรรมทัวร์จะมีเกมให้ลูกค้าเล่น มิลลิจะช่วยคิดเกม ดูแลลูกค้า แต่จริง ๆ แล้วที่พาเขาไปด้วยมีเจตนาสอนเรื่องการใช้ชีวิตให้กับลูก

เพราะผมอยากให้เขารู้ว่าทำงานอย่างไร มันเหนื่อย ส่วนนี้เขาน่าจะได้ประสบการณ์บวกกับการที่ไปเรียนการพูด และตอนเป็นประธานนักเรียน ต้องดูแลคนทั้งโรงเรียน 400 คน และเวลาทำงานกลุ่มมิลลิจะเป็นคนพรีเซ็นต์เสมอ” คุณพ่อบอกเล่า

มิลลิประธาน นร.ชูนโยบายตู้กดผ้าอนามัย ได้ประสบการณ์เอาคนดูอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต

เป็นที่รับรู้ว่าระหว่างที่เรียนสตรีนนท์ มิลลิ ได้รับเลือกเป็นประธาน นร. ตอนอยู่ ม.5 เขามาบอกพ่อว่าจะสมัครเป็นรองประธาน นร. เราก็บอกว่าหนูอ่านหลังสือเฉย ๆ ดีกว่าเสียเวลา สมัครทั้งทีต้องเป็นประธานนักเรียนเลย สุดท้ายเขาก็ได้เป็นประธาน นร. ด้วยคะแนนล้นหลาม ชูนโยบายเลยว่าเราจะมีตู้กดผ้าอนามัยในโรงเรียน คือผู้หญิงถ้าประจำเดือนมาแบบฉุกเฉินมันไม่ทัน ช่วงเป็นประธาน นร. เจอปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทำให้มิลลิเครียดอยู่ไม่น้อย พ่อจึงบอกว่าที่พ่ออยากให้หนูเป็นประธานนักเรียนเพราะอยากให้ลูกรู้จักการเมืองในโรงเรียนเป็นอย่างไร การจัดตั้งประธานนักเรียนก็เหมือนกับการจัดตั้งรัฐบาล จะมีอะไรข้างนอกที่จะคอยขัดขวาง ซึ่งมันไม่สามารถทำให้นโยบายที่คิดไว้สำเร็จ

…จึงไม่ต้องสงสัยว่าด้วยประสบการณ์และวัยที่ไม่มาก แต่มิลลิสามารถเอาคนดูอยู่เมื่ออยู่บนเวทีคอนเสิร์ตที่มีคนดูหลายแสน…

ไม่ยื่นคะแนนแอดมิชชั่น ได้ทุนเรียนดนตรีไม่รู้จักโน้ตสักตัว

ช่วงที่มิลลิเรียนรู้อยู่ที่สตรีนนท์ จัดอยู่ในกลุ่มห้องคิงส์ แต่เกรดเฉลี่ยอยู่ในระดับ 3.40 เรียกว่าอยู่อันดับท้าย ขณะที่เพื่อน ๆ ในห้องได้ปริ่ม ๆ 4.00 ซึ่งมิลลิตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยื่นคะแนนแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัย แต่ยื่น Portfolio (แฟ้มสะสมผลงาน) ความสามารถด้านแต่งเพลง หลายมหาวิทยาลัย และติดที่ มศว คณะศิลปกรรมเอกการแสดง ในช่วงที่ผลยังไม่ออก มีอาจารย์ที่เอแบค เขาเคยเป็นนักดนตรี และสนใจความสามารถของมิลลิมาก ชวนมิลลิไปเรียนดนตรี และเสนอว่าให้ทุนเรียนเป็นค่าหน่วยกิต ส่วนค่าบำรุงการศึกษาเราต้องจ่ายเอง ซึ่งมิลลิไม่มีพื้นฐานเรื่องทฤษฎีดนตรี ไม่รู้จักตัวโน้ตดนตรี มีแต่ความสามารถเรื่องแต่งเพลง อาศัยไปเรียนทฤษฎีดนตรีกับรุ่นพี่และเลือกเรียน เปียโน ถือว่าเริ่มจากศูนย์ทั้งที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานเปียโนเลย รู้จักแต่คอร์ดกีตาร์ เขาบอกว่าเพื่อชาเลนจ์ตัวเอง ซึ่งตอนที่เรียนเขาติดแร็พเปอร์ 1 ใน 8 แล้ว

“เรียกว่าเพื่อน ๆ อ่านโน้ตได้สบาย ส่วนมิลลิอ่านโน้ตไม่ได้ ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่โชคดีได้เพื่อนที่ดีมากช่วยเหลือกันก็ดึงกันไป พอมีโปรเจคท์ที่เขาจะทำดนตรี ก็ให้เพื่อนมาเป็นแบ๊กอัพ มิลลิจะดูทุกอย่างเพราะเขาเป็นคนร้อง ทุกคนต้องฟังเขา และเพื่อน ๆ ก็โอเคกับเขา จะสอนเขาตลอดเวลาเมื่อเราโตขึ้นมา อย่าลืมเพื่อน”

เส้นทางสู่แร็พเปอร์ก่อนหน้ามิลลิประกวด BNK

จุดเริ่มต้นการเป็นแร็พเปอร์ของมิลลินั้นพ่อแอ้มเล่าว่ารู้เพียงว่าลูกชอบร้องเพลง แต่จะร้องเสียงแปลก ๆ แม่จะบูลลี่ว่าร้องแบบนี้ไม่ได้ เขาก็เลยไม่ร้องให้ฟังเลย หลัง ๆ ก็ไปฟังเพลงหลายแนวเลย แล้วก็แอบไปออดิชั่น เขาเคยไปประกวด BNK ด้วยแต่ไม่ได้ มีอยู่วันหนึ่งเขาบอกว่า “พ่อหนูขอไปประกวดแร็พเปอร์นะ ไปสมัครมาแล้ว” แล้วต่อมาเขาก็ได้ออดิชั่นที่เวิร์คพอยท์ แต่วันนั้นเป็นวันที่มีเรียน เราก็บอกว่าให้หนูไปเรียนก่อน ลาเรียนครึ่งวัน คือเขาออดิชั่น 3 โมงเย็น แล้วพาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปจากโรงเรียนสตรีนนท์ ไปที่โรงถ่ายเวิร์คพอยท์ ที่ปทุมธานี เขาถามพ่อว่าจะต้องแต่งตัวยังไง เราก็บอกว่าก็ใส่ชุดนักเรียน ไม่ต้องใส่คอนแทคเลนส์ พอเขาสัมภาษณ์ก็พูดปกติ แต่ช่วงเวลาที่ปล่อยของเราก็ปล่อยช่วงนั้น คือเขาไม่เคยแร็พให้เราเห็นเลย สุดท้ายเขาก็ติดออดิชั่น

เพลงทุกเพลงที่ออกเป็นซิงเกิ้ลมา มิลลิแต่งเองทั้งหมด และมีบางช่วงที่ปรึกษาเป็นรุ่นพี่ที่มหิดล ชื่อพี่อัตตา มิลลิจะปรึกษาบ่อยซึ่งเป็นศิลปินในค่าย YUPP! ด้วยกัน เขาส่งจังหวะดนตรีมาให้แล้วแต่เนื้อตามโจทย์ เราไม่รู้ว่าแต่ละเพลงมิลลิคิดนานไหม บางทีลูกทำงานตอนกลางคืนนอนตี 2 ตี 3 เขาทำงานตอนกลางวันไม่ได้ อย่างเพลงที่ไปขึ้นคอนเสิร์ตที่โคเชลลา ทางค่ายให้แต่งเพลงที่บอกเล่าความเป็นประเทศไทย เราก็รู้พร้อมทุกคน ไม่ถามเขาก่อนว่าแต่งอย่างไร เพราะเราเคารพการตัดสินใจของเขา มินนี่ (ชื่อที่พ่อแม่เรียก) เพียงบอกว่าจะแต่งประมาณว่าพูดถึงอาหารไทยดีไหม เราก็ว่าดี แต่ดูคำว่าดี ๆ หน่อย โดยส่วนตัวเขาชอบกินมะม่วงอยู่แล้ว เพราะที่บ้านมีต้นมะม่วง ยายเขาปลูกไว้เป็น “พันธุ์พราหมณ์ขายเมีย” ซึ่งอร่อยมาก และคงเป็นจังหวะที่ว่าอะไรที่พูดถึงประเทศไทย เขาก็เลยคิดเอาเองว่า ต้องพูดถึงข้าวเหนียวมะม่วง

เพลงทุกเพลงมีลายเซ็น “ต้องเอาภาษาไทยเป็นภาษาอินเตอร์ให้ได้”

ในวัยเด็กมิลลิได้ปล่อยของบนเวทีต่าง ๆ มากมาย ความมั่นใจและการกล้าแสดงออกคือการสั่งสมมา แต่การแต่งเพลงเอง โดยเนื้อหาที่มิลลิถ่ายทอดมาเป็นคนที่รู้จักประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง นั่นอาจเป็นผลึกผลมาจากการเป็นนักอ่าน คลังคำของเนื้อเพลงที่ดูธรรมดา แต่กระทบใจคนส่วนมาก นอกจากนี้เธอยังสนใจเรื่องการเมืองอยู่ไม่น้อย

ส่วนใหญ่เขาจะดูข่าว พอมีการเมืองมา เราจะคุยการเมืองกับเขา เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน การเมืองกำหนดชีวิตเรา เราก็ยกตัวอย่าง อย่างพ่อ ถ้าการเมืองเข้ามา อาชีพที่โดนก่อนคืออาชีพไกด์ เพราะท่องเที่ยวกระทบ ซึ่งเขาก็ฟัง แล้วเราจะคุยกันว่ารัฐบาลควรจะทำอย่างไร แต่เราก็ไม่ได้สรุปว่าลูกคิดถูกหรือผิด ผมคิดว่าเขาเข้าใจการเมืองตั้งแต่เป็นประธานนักเรียนแล้ว” พ่อแอ้มเล่าถึงชีวิตในบ้าน ที่คนต่างรุ่นคุยกันในเรื่องการเมือง แต่ไร้ซึ่งความขัดแย้ง

เมื่อคุยเรื่องการแต่งเพลงอย่างลึกซึ้ง พ่อถ่ายทอดความคิดของมิลลิให้ฟังว่า เขาก็ตั้งใจว่าเพลงทุกเพลงที่แต่ง ถ้ามี ภาษาอังกฤษจะต้องมีภาษาไทยด้วย เขาบอกว่าในเมื่อเราฟังเพลงเกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งได้ ทำไมจะรู้จักภาษาไทยไม่ได้ ต้องเอาภาษาไทยเป็นภาษาอินเตอร์ให้ได้ และเพลงทุกเพลงต้องมีลายเซ็นเขา คือต้องมีชื่อเขาซ่อนอยู่ เหมือนกับเพลงของ “นิกกิ มินาจ” Nicki Minaj (นักร้องแร็พเปอร์หญิงชาวอเมริกัน) เขาจะมีชื่อเขา ใครไปร้องก็ต้องมีชื่อเขาติดอยู่ในเพลง

อย่าดูถูกความฝันของ “มิลลิ”    

ก่อนที่จะขึ้นเวทีโคเชลลา มิลลิได้เล่นหนังเรื่อง “เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ” พ่อบอกว่าจริง ๆ อันนี้เป็นตัวตนของมิลลิ เพราะตอนที่เรียนอยู่ ชอบมีคนถามว่า มิลลิอยากเป็นอะไร มิลลิ อยากตอบว่าอยากเป็นนักแสดง อยากเป็นศิลปิน แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกครู และกลัวเพื่อน ๆ จะหัวเราะความฝัน พอได้แสดงหนังก็เลยแสดงเป็นตัวเอง และเป็นจังหวะที่ได้ขึ้นคอนเสิร์ต ได้เป็นศิลปินมีชื่อเสียงระดับโลกพอดี

ความฝันที่มิลลิเคยคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องน่าขันของคนรอบตัว เด็กที่ไม่ได้มีแววของความเป็นนักร้อง เพียงแค่ชอบร้องเพลงด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ แต่แล้วฝันก็เป็นจริง ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร พ่อบอกว่าลูกมีความฝันใหญ่ว่าอยากจะเล่นคอนเสิร์ตทั่วโลก ทำทัวร์คอนเสิร์ตครึ่งปี อีกครึ่งปีจะเป็นช่วงการพักผ่อน ตอนนี้เราก็พยายามให้เขาบริหารเงิน มิลลิไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่าย ตอนนี้เขาอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ เพราะฉะนั้นแนวความคิดเขาจะเป็นคนกลุ่มอายุ 25 แต่ถ้าในรุ่นเดียวกันเขาจะเป็นพี่

ครอบครัวและความเป็นสุดยอดของคุณพ่อ มีส่วนสำคัญสร้างมิลลิให้สุดปัง!!.

*(ภาพบางส่วนจาก getty images)