เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ร่วมกับมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ  สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)จัดเวทีเสวนาเนื่องในโอกาส “วันเข้าพรรษา วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ปี 2565 “แกะปม 4 ชีวิต…เหยื่อพิษสุรา ที่โรงแรมแมนดาริน สามย่าน นางสาวรุ่งอรุณ  ลิ้มฬหะภัณ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวในเวทีเสวนาดังกล่าวว่าวันพรรษาของทุกปี ถือเป็น “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ตามมติคณะรัฐมนตรี ในปีนี้ตรงกับวันที่ 14 ก.ค. 2565 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญว่า “ปลอดเหล้า ปลอดโรค ปลอดภัย ห่างไกลโควิด 19” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนทำลายภูมิคุ้มกัน เพิ่มความเสี่ยงติดโควิด 2.9 เท่า อุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 20% มีสาเหตุจากการดื่มแล้วขับ ยิ่งในช่วงเทศกาลเพิ่มสูงเป็น 40%  สร้างความสูญเสียมากกว่า 9 หมื่นล้านบาทต่อปี มีประชาชนได้รับผลกระทบจากคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ 80% ทั้งก่อความรำคาญ การทะเลาะวิวาท

กิจกรรมในวันนี้มีความสำคัญ นำไปสู่การขับเคลื่อนสังคม กระตุ้นเตือนอันตรายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มไม่ขับ การสกัดนักดื่มหน้าใหม่ และกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มการดื่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง กลุ่มผู้ดื่มประจำ กลุ่มผู้ดื่มหนัก และกลุ่มเยาวชน ในเทศกาลเข้าพรรษาปี 2565 นี้ สสส. ขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้ช่วงเข้าพรรษา เป็นจุดเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำลายสุขภาพและร่างกาย เพื่อตนเองและครอบครัว” นางสาวรุ่งอรุณ กล่าว

ด้านนายเจษฎา แย้มสบาย ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนเมื่อ 22 ปีก่อน ที่เกิดขึ้นจากความไม่รับผิดชอบสังคมของผู้ที่เมาแล้วขับ ตนและภรรยาขี่รถจักรยานยนต์กลับจากขายของ จอดรอสัญญาณไฟจราจร ถูกรถที่คนขับเมาเหล้าพุ่งชนจากด้านหลัง ลากไปไกล 15 เมตร ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ ต้องขายทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อนำเงินมารักษาตัว ขณะที่คู่กรณีซึ่งยินยอมจ่ายเงินเยียวยา 150,000 บาท แต่ชดเชยให้จริงเพียง 40,000 บาทในเดือนแรก  แล้วค่อยๆ ลดเหลือหลักพัน เป็นหลักร้อย สุดท้ายไม่สามารถติดต่อได้   

ผมต้องนั่งวีลแชร์ ทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าเป็นภาระครอบครัว เคยพยายามทำร้ายตัวเองหลายครั้ง แต่ได้ฮึดสู้เพื่อลูกสาว หลังจากร่วมงานกับมูลนิธิเมาไม่ขับ สสส. ได้เรียนซ่อมโทรศัพท์มือถือ และเปิดร้านรับซ่อมที่บ้าน จนมีรายได้เข้ามาบ้าง ผมจึงอยากฝากว่าทุกคน ทุกครั้งที่เราจับพวงมาลัยขอให้มีสติอย่าประมาท ดื่มไม่ขับ ต้องนึกถึงเสมอว่าอาจเป็นต้นเหตุทำร้ายคนอื่นจนพิการหรือเสียชีวิต” นายเจษฎา กล่าว

นายจักรพันธ์ กลั่นเรืองแสง ผู้ได้รับผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า  ฝากถึงคนที่ยังดื่มเหล้าอยากให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง หันมารักสุขภาพลด ละ เลิก ถือโอกาสใช้เทศกาลเข้าพรรษานี้เป็นจุดเริ่มต้น เพราะจากประสบการณ์ของตนเอง เริ่มจากอยากดื่มเพื่อสังสรรค์ แต่ยิ่งดื่มหนักขึ้นจนเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกเช้า สุขภาพเริ่มแย่ลง เวียนหัว อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นสีดำ ตาเหลือง หน้าคล้ำ ท้องบวมโต หมอระบุว่าเป็นโรคตับแข็ง ต้องหยุดดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด ตนกลัวตาย จึงตั้งใจเลิกเหล้า แม้ช่วงแรกมีอาการอยากดื่ม แต่ต้องเอาชนะใจตัวเอง มุ่งมั่นและตั้งใจ เห็นคุณค่าของชีวิต จนสามารถผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ และเลิกดื่มเหล้าได้ในที่สุด แม้ปัจจุบันต้องทนทุกข์เพราะเหล้าทำลายชีวิต ทำลายตับไปแล้ว ต้องกินยาต่อเนื่อง แต่ก็ยังดีที่ได้ชีวิตใหม่และครอบครัวกลับคืนมา

นายชัยพฤกษ์ มีแท่ง อดีตเยาวชนที่เคยก้าวพลาดกลายเป็นเหยื่ออาชญากรรม กล่าวว่า  เริ่มหัดดื่มเหล้าตั้งแต่อายุ 14 ปี เพราะมองว่าดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เป็นเรื่องปกติ พอเข้าเรียนอาชีวะมีเพื่อน มีรุ่นพี่ ชวนกันดื่ม มีการใช้ความรุนแรง รุ่นพี่ให้ทำอะไรพร้อมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งการปล้นเพื่อหาเงินซื้อเหล้า ตีรันฟันแทงกับเพื่อนต่างสถาบัน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตคือ ตนถูกตำรวจจับ จากการใช้ปืนยิงคนเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคู่อริ เมื่อมองย้อนกลับไป คิดว่าหากในช่วงวัยรุ่นตัดสินใจไม่ดื่ม ไม่คึกคะนอง เหตุการณ์เลวร้ายก็คงไม่เกิด แม้วันนี้จะได้รับอิสรภาพ กลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัว แต่ตราบาปยังติดอยู่ในใจตลอดว่าเราเกือบจะฆ่าลูก ฆ่าพ่อ หรือสามีของครอบครัวคนอื่น หากย้อนเวลากลับได้คงไม่ทำเช่นนั้น ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครก้าวพลาดแบบตน ศักดิ์ศรีไม่มีอยู่จริง เพราะในวันที่เราพลาด เราอยู่ในคุก ไม่เหลือใครเลยนอกจากแม่ และครอบครัว รักเพื่อนได้ต้องรักตัวเองด้วย

ขณะที่ นางนันทิยา พุ่มสุวรรณ  เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า เหตุการณ์เลวร้ายผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีวันลืมได้ลง สามีเก่าของตน ติดเหล้า ติดยาเสพติด จนเกิดอาการหลอน ชอบทำร้ายร่างกาย แม้ตนกำลังตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน แต่ก็ให้อภัยมาตลอดเพราะคำว่าครอบครัว พยายามพูดคุยให้เขาปรับตัวใหม่ แต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งสามีเก่าถูกจับติดคุกเพราะเสพยา แต่เมื่อถูกปล่อยตัวก็ออกมาทำร้ายอีก ถูกทุบตี ครั้งนี้หนักขึ้นใช้มีดแทง และฟันมือจนเส้นเอ็นขาด ญาติตามคนมาช่วยจึงรอดมาได้ หลังจากวันนั้นได้แจ้งความเอาผิดสามีเก่าและได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสสส. ทุกวันนี้ตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปหาเขาอีก แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากฝากว่า หากครอบครัวไหนมีสิ่งเสพติด มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้องมันจะเปลี่ยนจากรักเป็นความรุนแรงทันที