เรียกได้ว่าวันเวลาของแต่ละปีช่างผ่านไปไว รวดเร็วซะเหลือเกิน กระพริบตาแปปเดียวก็ก้าวข้ามปี 2022 มาสู่ปี 2023 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง เชื่อว่าทุกคนคงจะได้ประสบการณ์ชีวิตที่เรานำมาปรับใช้กับปีใหม่ได้แน่ๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ยังไงเราก็ผ่านมันมาได้แล้ว หากลองย้อนมองดูก็คงจะอมยิ้ม หรือเคล้าน้ำตากันไม่น้อย แต่ก็ช่างมันส่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เรามาโฟกัสกับปัจจุบันดีกว่านะคะ

แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ผ่านไปไวไม่แพ้กับวันเวลาเลยนั้นก็คือ “กระแสเทรนด์แฟชั่น” ของแต่ละปี ที่บอกเลยว่ามาแบบรวดเร็ว และหายไปไวเช่นกัน แต่ก็ยังคงมีบ้างแฟชั่นที่มาและอยู่ยาวๆ หรือแม้กระทั้งบางกระแสที่กลับมาฮอตฮิตติดลมบนอีกครั้ง จนหลายๆ คนตกใจว่ากลับมาฮิตหรือแล้วหรือ หรือบ้างคนก็สงสัยว่าทำไมเลิกฮิตกันรวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่ไม่เป็นไรคะ วันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” ก็ไม่อยากให้ทุกคนตกเทรนด์ เลยอยากพามาอัพเดท “แฟชั่นที่จะมาแรง” ในปี 2023 มาดูกันว่าเทรนด์ไหนจะอยู่ เทรนด์ไหนจะร่วง แฟชั่นแบบไหนบ้าง ที่ต้องมีไว้ประดับตู้เสื้อผ้า ที่จะมีความ บิวตี้สีสัน การแต่งตัวสไตล์ แบบไหนที่ควรลอง เพราะเชื่อว่า ต้องมีการหยิบยกมาแต่งกัน ในปีนี้อย่างแน่นอน พร้อมทักพาทุกคนมาอัพเดทกันเลย

เริ่มกันที่อันดับแรกกับ “เทรนด์สี Pantone 2023” หรือที่เรารู้จักกันว่า “สีประจำปี” ซึ่งเป็นประจำทุกปีที่ทาง Pantone จะออกมาประกาศเปิดตัวสีที่จะมีอิทธิพลต่อเทรนด์แฟชันในปีต่อไป ซึ่ง Pantone’s Color of the Year 2023 ได้แก่ “Viva Magenta 18-1750” เป็นสีโทนม่วงอมแดงหรือโทนสีแดงเข้ม ที่มีความสมดุลระหว่างสีโทนร้อนและเย็น โดยทาง Pantone ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “Viva Magenta 18-1750” เป็นเฉดสีที่หยั่งรากในธรรมชาติจากตระกูลสีแดง แสดงถึงสัญญาณของความแข็งแกร่ง กล้าหาญ และไร้ความกลัว เป็นสีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา การเฉลิมฉลองที่สนุกสนาน ส่งเสริมการมองโลกในแง่ดีและมีความสุข แทนความมีชีวิตชีวาที่พร้อมขับเคลื่อนสู่อนาคต ระหว่างปัญญาประดิษฐ์และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เพื่อสร้าง “The Magentaverse” ซึ่งเราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สีแดงอมม่วง Viva Magenta จะถูกนำไปใช้ หรือดัดแปลงเป็นอะไรเก๋ๆ ในชีวิตประจำวันของเราบ้าง

มาต่อที่เรื่อง “การแต่งหน้าและดูแลผิว” ในปี 2022 เทรนด์ความงามที่มาแรงแซงทุกโค้งก็คือ “Skinimalism” หรือเทรนด์การดูแลผิวน้อยๆ แต่ตอบโจทย์ แล้วในปี 2023/2566 ก็คาดว่า เทรนด์การดูแลผิวแบบมินิมอล ที่ใช้สกินแคร์น้อยชิ้น ยังคงเป็นเทรนด์ความงามที่ฮอตยิงยาวเหมือนเดิม และกลายมาเป็นเทรนด์การดูแลผิวที่ได้รับความนิยมมากขึ้น

จากที่หลายคนเคยฮิตใช้สกินแคร์หลายตัวและมีขั้นตอนบำรุงผิวหลายสเต็ป ก็เปลี่ยนมาใช้วิธีดูแลผิวแบบมินิมอลด้วยการ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบบ Multitasking ที่ มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวหลายอย่างในตัวเดียวกัน และตอบโจทย์กับสภาพผิวของตัวเองมากที่สุด อย่างเช่นเซรั่มที่ช่วยเรื่องผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสในตัวเดียวกัน หรือคลีนเซอร์ที่ทำความสะอาดผิวได้อย่างหมดจดทั้งสิ่งสกปรกและเมคอัพ

ส่วนในเรื่องของ “เมคอัพ” ในช่วงครึ่งปีหลัง 2022 หลายคนคงเห็นกันแล้วว่า “Glazed Donut” หรือเทรนด์โดนัทเคลือบน้ำตาล กลายเป็นไวรัลที่ฮอตฮิตแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผิว การทำเล็บ หรือแม้แต่การแต่งหน้าในปี 2023 นี้เทรนด์โดนัทเคลือบน้ำตาลก็ยังคงได้รับความนิยมไม่มีแผ่ว อย่างเทรนด์แต่งหน้าด้วยการ ปัดไฮไลต์ให้ผิวฉ่ำๆ วาวๆ เหมือนกับน้ำตาลสุดแวววาวที่เคลือบอยู่บนโดนัท ซึ่งใช้เทคนิคที่แตกต่างจากการปัดไฮไลท์แบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกันตรงที่ ไม่ได้ปัดไฮไลต์แค่บริเวณแก้มอย่างเดียวเท่านั้น แต่เน้นปัดไฮไลต์บริเวณตาและขมับ เพื่อเพิ่มพลังความฉ่ำโกลว์ให้ผิว และทำให้เมคอัพดูสวยมีมิติมากขึ้นด้วยค่ะ

ส่วนในเรื่อง “เทรนด์การแต่งหน้าแนวมินิมอล” เราก็ห้ามพลาด เพราะยังคงถูกจับตามองไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะงานแก้มระเรื่อๆ ดูเป็นธรรมชาติ ก็คาดว่าจะมาแรงในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง ด้วยการเลือกใช้บลัชออนประเภทครีมบลัชแทนบลัชออนเนื้อฝุ่น เพราะบลัชออนเนื้อครีมเวลาเกลี่ยลงบนผิวแล้วเนียนสนิทไปกับผิว และให้ฟินิชลุคที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า แล้วเทคนิคการปัดแก้มให้ดูซอฟต์ใสก็ง่ายมากๆ หลังจากที่ลงรองพื้นเสร็จแล้วก็ให้เกลี่ยครีมบลัชลงบริเวณแก้ม จากนั้นก็ทาทับด้วยรองพื้นแบบบางๆ เท่านี้ก็ได้ลุคแก้มอมชมพูดูมีเลือดฝาดแบบไม่โป๊ะ

นอกจากนี้เทรนด์เมคอัพที่คาดว่าจะมาแรงแน่ๆ ในปีหน้าก็คือ “Monochrome Makeup” ที่เป็น การแต่งหน้าคุมโทนสีเดียวกัน จะหยิบเครื่องสำอาง Multitasking ที่สามารถใช้เติมสีสันได้ทั้งบริเวณตา แก้ม และปาก มาใช้ในการแต่งหน้า ไม่ต้องเสียเวลาแมตช์โทนสีหรือใช้เครื่องสำอางหลายชิ้น แถมยังได้ลุคเมคอัพที่ดูเข้ากันได้ดี ไม่ต้องกลัวว่าโทนสีเมคอัพส่วนใดส่วนหนึ่งจะดูโดดหรือแย่งซีนกันเลย

ส่วนในเรื่องของ “เทรนด์แฟชั่นการแต่งตัว” ในปี 2022 ที่ผ่านมาหากใครลองเลื่อนไปตาม เฟซบุ๊ก ไอจี ของเหล่า เซเลป ดารา หลายๆคนคงจะเคยเห็นสไตล์การแต่งตัว ที่มีกลิ่นอาย ย้อนยุค และคอสตูมที่หยิบยกจากภาพยนตร์หรือเพลงในยุคเก่า รุ่นคุณพ่อคุณแม่ มาประดับเป็นแฟชั่นในทุกวันนี้ หรือ ที่มีชื่อเรียกว่าแฟชั่น “Y2K” ที่ย่อมาจาก Year 2000 หรือ “แฟชั่นช่วงปลายปี 90s” ที่ได้หวนกลับคืนสู่วงการแฟชั่นอีกครั้ง

ซึ่งบอกได้เลยว่าในปี 2023 แฟชั่น Y2K ก็ยังคงฮอตฮิตให้เหล่าวัยรุ่น หรือเหล่าดารา ได้เลือกสวมใส่เป็นสไตล์ก่อนออกงาน และออกจากบ้านเป็นอับดับแรกแน่นอน โดยมี 5 สิ่งที่หากเราอยากแต่งตัวตาม แฟชั่น Y2K ก็จะได้แก่ เสื้อครอปตัวจิ๋ว หรือ baby tees โชว์เอวลอย ยิ่งถ้าเป็นเสื้อพิมพ์ลายตัวใหญ่ ยิ่งเสริมความวินเทจไปอีก พอเหมาะกับ กางเกง เอวต่ำ ทั้งตัวโคร่ง และกางเกงยีนส์ พูดถึงกางเกงไปแล้ว กระโปรงก็ต้องมา สำหรับ กระโปรงเอวต่ำ พร้อม เข็มขัดเส้นโต ที่เรียกได้ว่า ยุคเอวต่ำกลับมาครองตลาดอีกครั้ง หรือ ภาษาวัยรุ่นหน่อย เอวดื้อ Never die ถ้าไม่ใช่ทรงกางเกงธรรมดา จะมาในรูปแบบ เสื้อวอร์ม หรือ ลายสก็อตก็ไม่ติด

ส่วนเครื่องประดับ มีชุดคอสตูมจัดเต็ม ต้องมีกระเป๋า หากจะให้เข้ากับ แฟชั่น Y2K  ต้อง กระเป๋าทรง Baguette Bags (บาแกตต์) กระเป๋าสุดฮิตจากซีรีย์ดังเรื่องหนึ่งในยุค 90 ที่ตัวละครสุดแซ่บจากหลากหลายเรื่อง ได้นำมาถือ จนกลายมาเป็นเทรนด์สุดฮิตกระฮืมโลกในยุคนั้น และในตอนนี้ ได้หวนคืนอีกครั้ง มาที่ แอคเซสเซอรี่ บ้าง ไม่ว่าจะเป็นแนววิบวับ สร้อยคอใดๆ กิ๊ฟลายผีเสื้อ ดอกไม้ต่างๆ งานนี้ต้องมาแล้ว ยิ่งเติมแต่งด้วยทรงผมในแบบฉบับถักทอช่อเปียไว้บนหัว ยิ่งปังสุดๆ

และเพื่อเติมเต็มความเป็นแฟชั่นสไตล์ Y2K ทั้งลุค ก็พลาดไม่ได้ที่จะหยิบเอาพาเลตต์อายแชโดว์มาใช้แต่งแต้มเปลือกตาเพื่อเพิ่มสีสันควบคู่ไปกับการแต่งตัว เพราะการแต่งหน้าสไตล์ Y2K นั้นเน้นการแต่งแบบสนุกสนานและไร้ความกังวลใดๆ เรียกได้ว่าจะแต่งอะไรก็ได้ที่อยากแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตาแบบ Frosted eyes การแต่งเปลือกตาด้วยสีขาวสว่าง หรือเลือกแต่งเปลือกตาด้วยอายแชโดว์สีฟ้าที่เป็นซิกเนเจอร์ของยุค 2000s พร้อมกับทาลิปสติกที่เป็นสีเมทัลลิคสุดแวววาว และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการทำผมทรง Space buns หรือม้วนผมแบบบันทั้งสองข้างก็จะยิ่งเติมเต็มความเป็นแฟชั่น Y2K มากขึ้นไปอีก

ส่วนอีกหนึ่งเทรนด์ที่หลายคนให้ความสนใจ และกำลังได้รับความนิยมช่วงปลายๆ ปีนี้ และคงไม่พลาดที่ฮิตติดลมรับยามไปถึงปี 2023 นั้นก็คือ “กางเกงคาร์โก้” (Cargo pants) เพราะนอกจากนอกจากกางเกงยีนส์ที่ฮอตฮิตตลาดกาลจะทำให้ลุคสวยเท่แล้ว ยังมีกางเกงคาร์โก้ที่ทำให้ลุคดูดีได้เช่นกัน ไม่ต่างจากกางเกงยีนส์เลย

สำหรับกางเกงคาร์โก้ คือ กางเกงที่อินสไปร์มาจากเครื่องแบบของทหาร เป็นกางเกงทรงหลวม ขากระบอก มีกระเป๋าที่กางเกงเยอะ เหมาะกับการสวมใส่ไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ใครที่เป็นสายลุยชื่นชอบการแอดเวอร์เจอร์ ไม่ควรพลาดกับกางเกงคาร์โก้เลย โดยกางเกงคาร์โก้มีให้คุณเลือกทั้งแบบขาสั้นและขายาว สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์กับเสื้อผ้าได้อย่างหลากหลาย ถ้าหากว่าใครชอบแต่งตัวเท่ ๆ กางเกงคาร์โก้เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่จะช่วยทำให้ลุคของคุณดูเท่ได้ง่าย ๆ จะสวมใส่กับเสื้อเชิ้ตลายสก็อต และรองเท้าบูท ลุคของคุณก็เท่สุด ๆ ไปเลย หรือใครชอบแต่งตัวแนวแคชชวล สบาย ๆ แต่ยังคงความเท่เอาไว้ คุณก็อาจจะใส่เสื้อยืดคู่กับกางเกงคาร์โก้ก็เท่ได้เหมือนกัน

ส่วนในเรื่อง “ทรงผม” ของสาวๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา สาวๆ อาจได้ยินชื่อทรงผมที่ฟังแล้วรู้สึกแปลกหู เช่น “Jellyfish Haircut” หรือผมทรงแมงกะพรุนสุดฮิตในหมู่สาวญี่ปุ่น ที่บอกเลยว่ายังคงเป็นที่จับตามองอยู่ และคาดว่าคงจะอยู่ยาวๆ ในปี 2023 ซึ่งผมทรงแมงกะพรุน เป็นการต่อยอดด้วยการผสมผสานผมบ๊อบสั้นเข้ากับทรง Mullet (ทรงรากไทร) เพื่อเลียนแบบรูปร่างของแมงกะพรุน โดยผมด้านบนจะตัดเป็นบ๊อบตรงเท่ากันทั้งศีรษะ และปล่อยผมด้านล่างให้ยาว โดยอาจสไลด์ให้ดูพลิ้วไหวเหมือนหนวดแมงกะพรุน

ผมทรงนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นไม่นานมานี้ และสาว ๆ หลายคนนิยมตัดเพราะทำให้รู้สึกเหมือนได้ไว้ผมสั้นและผมยาวในทรงเดียวกัน แถมยังสนุกกับการทำสีผมได้มากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ก็ยังมีทรงผมที่น่าสนใจไม่น้อยอย่างทรง “Curtain Bangs” ทรงผมหน้าม้าสไลด์ข้างและแหวกตรงกลางนิดๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์ฮอตฮิตในหมู่สาวสายฝอ ซึ่งทรงนี้จะแตกต่างกับหน้าม้าปกติตรงที่เป็นการตัดหน้าม้าที่ไม่สั้นมากนัก โดยตัดแบบไล่ระดับจากสั้นไปยาวตั้งแต่หางตาลงไปจนถึงข้างแก้ม และเน้นการแสกกลางเพื่อให้เห็นเลเยอร์ของหน้าม้า สามารถครีเอตทรงผมได้หลายสไตล์ ไม่ว่าจะรวบเก็บไว้ตรงท้ายทอยแล้วโชว์ให้เห็นหน้าม้า ปล่อยยาวแล้วไดร์ให้เป็นวอลุ่มตรงปลายผมเล็กน้อย หรือจะดัดลอนม้วนออกให้ฟิลเหมือน Farrah Fawcett นักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดังในยุค 70s ก็สวยเก๋ไปอีกแบบ ว่าแล้วอย่ารอช้า ใครที่อยากลองเปลี่ยนลุค ห้ามพลาดสำหรับเทรนด์นี้

 และอีกทรงผมสำหรับสาวผมยาวที่กำลังมาแรงแซงโค้งที่คาดว่าจะฮอตฮิตมากๆ ในปี 2566 นั่นคือ “Butterfly Haircut” ผมทรงผีเสื้อแสนสวยประดุจผีเสื้อสยายปีกที่เหมาะกับสาวๆ ในทุกรูปหน้า เป็นทรงผมที่ดูมีวอลลุ่มและเท็กซ์เจอร์ เป็นทรงผมที่สาวผมสั้นหลายคนหันมาเลี้ยงผมให้ยาวเพื่อรอช่างผมมือทองมาช่วยครีเอททรงผมสุดโปรดให้กับพวกเธอ

ผมทรงผีเสื้อ Butterfly Haircut เป็นทรงผมที่เลียนแบบรูปทรงของปีกผีเสื้อ โดยเทคนิคแล้ว ผมทรงนี้เป็นทรงผมยาวที่ตัดอย่างมีเลเยอร์ต่างระดับเยอะๆ โดยส่วนที่สั้นที่สุดของผมจะมีความยาวมากกว่ากรอบหน้า เป็นทรงผมที่ทำให้สยายออกไปรอบๆ ศีรษะ โดยเน้นในเรื่องของวอลลุ่มและเท็กเจอร์ของผมเป็นสำคัญ บางครั้งถูกเรียกว่าทรง “Thousand Layers” ตามลักษณะของเลเยอร์ที่เยอะ หรือบางคนก็เรียกว่า “Octopus Cut” เพราะมีลักษณะเป็นเหมือนหนวดของปลาหมึก โดยเทคนิคการตัดผมทรงนี้จะเน้นตัดไล่ระดับเป็นชั้นๆ สร้างสมดุลระหว่างทรงผมและเลเยอร์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งการตัดจะแบ่งเป็น 2 ส่วนชัดเจน คือ ส่วนผมยาวที่อยู่ต่ำกว่าแผงคอลงมา และส่วนที่สั้นกว่าบริเวณช่วงคางและกรอบหน้าที่ดูมีวอลลุ่ม

ส่วนด้าน “ทรงผมผู้ชายในปี 2023” ก็ยังคงไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็ยังมีทรงที่คาดว่าจะยังคงฮอตฮิตตลาดกาล ที่ได้ใครตัด ก็จะดูหล่อขึ้นกันทุกคนอย่างทรง “Classic Slicked Back” สำหรับทรงนี้ บอกเลยว่าเป็น ทรงผมชายยอดฮิต ที่เท่มาก ๆ สาวเห็นนี่มีเหลียวเลย สำหรับทรงนี้เป็นทรงผมชายวินเทจที่ต้องบอกก่อนว่า อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ขี้เกียจตื่นเช้าอาบน้ำเสร็จ แล้วต้องมาเซ็ทผมทุกเช้า เพราะทรงนี้เป็นทรงที่ตัด แล้วต้องเซ็ททุกครั้ง และที่สำคัญเลย คือต้องเอาใจใส่ ในขั้นตอนของการ ทำความสะอาดด้วย เพราะจะต้องล้างตัวที่เซ็ทผมออกให้หมดอย่าให้เหลือตกค้าง ไม่อย่างนั้นผมคุณจะเกรอะกรัง และแห้งแข็งได้

แต่สำหรับใครที่ไม่ติดเรื่องที่ต้องเซ็ทผมทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ก็สามารถเดินเข้าร้านทำผม แล้วบอกช่างว่าขอทรงผมชายเปิดข้างทรงนี้ได้เลย ในส่วนของทรงนี้จะต้องทำการไถด้านข้างออกทั้งสองข้างให้สั้นสักหน่อย แล้วเหลือด้านบนไว้ ให้ยาวมากพอที่เราจะหวีเสยขึ้นไปได้แบบไม่ติดขัด ทรงนี้จะเหมาะกับคนที่มีใบหน้าเรียวยาว ใบหน้ารูปไข่ และใบหน้ารูปเพชร

ส่วนอีกหนึ่งทรงที่น่าสนใจเป็นอย่างมากนั้นก็คือทรง “Dandy” เป็นอีกหนึ่งทรงผมชายสั้นๆ สไตล์เกาหลีที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับทรงนี้เหมาะสำหรับชายหนุ่มที่เป็นสายเกาหลี แต่ถึงจะเป็นทรงผมสไตล์เกาหลีก็ตาม แต่ชายไทยเองก็สามารถตัดได้เช่นกัน ทรงนี้จะเป็นรองทรง แต่เดี๋ยวก่อนรองทรงเฉยๆ จะดูเกาหลีได้ยังไง มันก็ต้องเป็นรองทรงที่ข้างบนจะยาวมากกว่ารองทรงแบบปกติให้อยู่ระดับประมาณตรงคิ้ว แล้วไถด้านข้างออกสักเล็กน้อย แค่เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ทรงผมสุดชิคตามสไตล์โคเรียนกันแล้ว

และข้อดีอีกอย่างของผมทรงนี้คือ ไม่ว่าคุณนั้นจะมีรูปหน้าแบบไหนก็ตาม ก็สามารถตัดทรงนี้ได้ แถมยังเพิ่มลุคขี้เล่นสดใสอีกด้วย ใครยังไม่เคยลองตัดทรงนี้ลองตัดดู เผลอๆ อาจจะติดใจ กลายเป็นผมทรงโปรดไปเลยก็ได้

เป็นยังไงกันบ้าง เทรนด์สำหรับปีนี้จะตรงใจทุกคนหรือเปล่า? แต่จะบอกไว้เลยหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาจะแสดงให้เห็นว่าแฟชั่นคือ “การวนกลับมาซ้ำๆ” ทั้งในเรื่องดีไซน์และสีสัน อีกทั้งยังเป็นเทรนด์แฟชั่นที่มีสนุกและค่อนข้างไร้ขีดจำกัดต่างๆ เอาเป็นว่าใครชอบแบบไหนก็จัดแบบนั้นได้เลย เพราะจริงๆ แล้วคำว่าแฟชั่นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แล้วแฟชั่นนั้นๆ จะถูกจริตคนอื่นมั้ย ถ้าถูกจริตเดียวกันหลายๆ คนจนเป็นกลุ่มใหญ่ ก็จะกลายกระแสขึ้นมาทันที เพราะฉนั้นใครมั่นใจแบบไหนก็ใส่แบบนั้นดีกว่า แฟชั่นไม่มีผิดไม่มีถูก อยู่ที่ความพึงพอใจของผู้สวมใส่ แต่หากชื่นชอบสไตล์เดียวกันจะลองมิกซ์แอนด์แมตซ์กันดู ก็ไม่ว่ากันจ้า สุดท้ายก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนอีกครั้งค่า..

ขอบคุณภาพประกอบ : Pantone, chahong_official, Men’s Hairstyle Trends, bewvaraporn, pjthomsen, davikah, gun_atthaphan, inpitar, pp.kritt