จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อปี 2501 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากสหรัฐ ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นระงับการแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อเกาหลีใต้ ต่อมาในปี 2504 นายปาร์ค จอง-ฮี ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในเวลานั้น เยือนญี่ปุ่น แม้มีการต่อต้านจากหลายฝ่ายก็ตาม
อนึ่ง ข้อตกลงญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ที่ลงนามเมื่อปี 2508 ได้รับแรงผลักดันจากหลายปัจจัย โดยจากมุมมองของญี่ปุ่น การสนับสนุนเกาหลีใต้จะเป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของชาติ ด้วยการขยายตลาดส่งออก และโอกาสในการลงทุน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีเป้าหมายปรับปรุงสถานะระหว่างประเทศผ่าน การมีส่วนร่วมใน “โลกเสรี” รวมทั้งมองความร่วมมือด้านการพัฒนากับเกาหลีใต้เป็นโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกาหลีใต้เผชิญหน้ากับระบอบคอมมิวนิสต์ที่เป็นศัตรู
สนธิสัญญาที่ทำให้ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ กลับเป็นปกติ สะท้อนถึงผลประโยชน์ร่วมกันของญี่ปุ่น, สหรัฐ และเกาหลีใต้ ซึ่งประสานกับการพิจารณาทางทหารที่นำโดยสหรัฐ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลโตเกียวกับรัฐบาลโซล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เงินทุนของญี่ปุ่นสำหรับนโยบายเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีความสำคัญจากจุดยืนด้านความมั่นคงอีกด้วย
แม้ความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่นจะยังคงอยู่ แต่มันเป็นที่แน่ชัดว่า เบื้องหลังการเจรจาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้นั้น เกาหลีใต้มียุทธศาสตร์การพัฒนาที่ชัดเจน เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และพยายามเปลี่ยนจากเงินช่วยเหลือเป็นเงินกู้ของญี่ปุ่น
ตอนแรก เกาหลีใต้อ้างสิทธิในการเรียกร้องค่าชดเชยจากญี่ปุ่น แต่รัฐบาลโตเกียวโต้แย้งว่า สามารถส่งเงินด้วยเหตุผลดังกล่าวได้ ซึ่งรัฐบาลโตเกียวตัดสินใจมอบความช่วยเหลือโดยรวมการส่งออกและการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ และยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นการลดความยากจนภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
กระบวนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ รวมถึงการสรุปสนธิสัญญาปี 2508 มุ่งเน้นวิธีการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ท่ามกลางสภาวะสงครามเย็นที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น มากกว่าการกล่าวถึงประเด็นสำคัญของการยุติปัญหาทางประวัติศาสตร์ อันเกิดจากการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น
ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ในปัจจุบัน ผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ และมีการคาดการณ์ว่า ทั้งสองประเทศจะยกระดับความร่วมมือด้านการพัฒนาในเชิงกลยุทธ์ กับประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ดังกล่าวยังเข้าสู่ยุคของความร่วมมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ มากกว่าการแสวงหาผลประโยชน์ของชาติในประเทศใดประเทศหนึ่ง.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP