กระแส “การต่อต้าน” การเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีสารพัดความเห็น สารพัดช่องทาง ออกมานำเสนอ จนทำเอาคนไทยทั้งประเทศต่างเคลือบแคลงสงสัย!!
ในเมื่อพรรคที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนคนไทยมากที่สุด แต่ไม่สามารถให้แคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ แล้วเช่นนั้น!!จะเลือกตั้งกันทำไม? ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของประเทศ
เกมการเมือง!! ในเวลานี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคนไทยเท่านั้น แต่ยังกระเทือนไปยังนักลงทุนต่างประเทศ
ไม่เพียงเท่านี้… หากสถานการณ์เลยเถิดจนถึงขนาดที่เกิด “ม็อบลงถนน” ก็จะยิ่งหนักหนาสาหัส อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประสบการณ์กับความเห็นต่าง ความแตกแยก จนประเทศต้องอยู่ในภาวะบอบช้ำ
ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเข้าอีก!! ก็ไม่อยากจะคิด เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านชาวช่องยังต้องผจญกับความทุกข์ จากภาวะข้าวยากหมากแพง อยู่แล้ว รายได้แม้เพิ่มขึ้นบ้าง ก็ไม่คุ้มกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ภาคเอกชนเองก็ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าจะเดินหน้าได้มากน้อยแค่ไหน อย่างที่บอก หากทุกอย่างล่าช้าประเทศไทยก็จะเสียโอกาส อย่าง “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ก็ออกมาส่งเสียงดัง ๆ ในหลาย ๆ รอบ
หากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ต้องยืดเยื้อล่าช้าไปอีก 1-2 เดือน หรือเลื่อนไปจนถึงปลายปี ก็อาจทำให้ “ม็อบ“ที่หายไปจากสังคมไทยอาจหวนกลับคืนมาอีก
ที่หนักหนาสาหัส ก็คือ…เหตุการณ์เช่นนี้เปรียบเสมือน “ภาพหลอน“ ที่ภาคเอกชน หรือแม้แต่คนไทยเอง ก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะกระทบเครื่องยนต์เศรษฐกิจแน่ ๆ แถมยังชิ่งไปโดนภาคท่องเที่ยวโดยตรงอีกต่างหาก จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์กันไว้ที่ 30 ล้านคน อาจต้องกิน “แห้ว“ ก็เป็นไปได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น บรรดานักธุรกิจต่างกลัวเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลมากกว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพียงแค่ขอให้ชัดเจน นักธุรกิจจะไม่มีปัญหาเพราะรู้ว่าถ้าใครเป็นรัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร
แต่!! ถ้าเมื่อใดมีเหตุการณ์ “ม็อบลงถนน” รับรองได้ว่าความกังวลเกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหายไปแน่ แม้เหตุการณ์อาจเกิดในเมืองก็ตาม แต่บรรยากาศน่ะไม่ใช่แล้ว!!
ต่อให้…ณ เวลานี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้วประมาณ 11 ล้านคน และเชื่อว่าเมื่อถึงสิ้นเดือนมิ.ย.นี้จะมียอดนักท่องเที่ยวรวม 12 ล้านคน ก็ตาม
ส่วนบรรดาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ ก็อาจชะลอไปก่อน รวมทั้งโอกาสในการย้ายฐานจากจีนที่จะเข้ามาประเทศไทย อาจเลือกไปเวียดนาม อินโดนีเซีย หรือประเทศอื่น ๆ แทน
อย่าลืมว่า เวลานี้ ปัญหาเศรษฐกิจในประเทเอง ก็ยังไม่เสถียรมากนัก โดยเฉพาะ ภูเขาไฟหนี้ครัวเรือน อีก 6 แสนล้านบาทก็จ่อจะระเบิดอยู่ร่อมร่อ
ทั้งหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อบ้านและหนี้รถยนต์ หากหนี้ในสินทรัพย์เหล่านี้ ตกชั้นไปเป็นหนี้เน่า มากขึ้น ก็น่าจะสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่าบรรดาลูกหนี้กำลังจะหมดลมหายใจ
โดยหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อรถยนต์ มีมูลหนี้มากถึง 1.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 32% ขณะที่สินเชื่อบ้าน ประมาณ 1.12 แสนล้านบาท แถมเกือบ 70% เป็นหนี้ที่อยู่กับสถาบันการเงินของรัฐ
ที่สำคัญ…หนี้ที่ค้างชำระเหล่านี้ หลักๆ แล้วมาจากกลุ่มที่เป็นเจนวาย ที่เป็นกลุ่มวัยทำงาน มากถึง 2.9 แสนล้านบาทและยังมาจากกลุ่มเจนเอ็กซ์ มากถึง 2.1 แสนล้านบาท รวมๆกันแล้วก็ปาเข้าไป 5 แสนล้านบาท
หากนำมารวมกับหนี้ที่เป็นหนี้เสียหรือเป็นเอ็นพีแอลไปแล้ว อีก 9.5 แสนล้านบาท ถ้าปล่อยให้ตกชั้นกลายเป็นหนี้เน่าเพิ่มก็เท่ากับว่าจะมีหนี้เน่าถึง 1 ล้านล้านบาทกันทีเดียว
ขณะเดียวกัน การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่มีอยู่ก็จะทำได้ไม่เต็มที่ เบิกจ่ายได้เฉพาะรายจ่ายประจำ ขณะที่งบลงทุนไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ประเทศก็สูญเสียโอกาสไปอีก
สุดท้าย!! ก็ไม่มีอะไรดีเกิดขึ้นกับประเทศ ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยเร็ว ชาวบ้านตาดำ ๆ นั่นแหล่ะที่ต้องรับกรรม!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”