ตำแหน่งประธานรัฐสภา ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำกับดูแลการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเป็นคนกำหนดวันประชุม สั่งปิดประชุมได้ เป็นคนที่บทบาทสำคัญมาก และยังมีผลต่อการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างมากที่สุดท้ายแล้ว…จะเป็นใครกันแน่?

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่ลงตัวเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่บรรดาภาคเอกชน จะออกมาเรียกร้องส่งเสียงดัง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้รีบ ๆ จัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จกันสักที เพราะจะได้วางแผนเดินหน้าธุรกิจได้ถูก

ก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วแหล่ะว่า ใคร?จะมา ไม่สำคัญ ขึ้นอยู่ที่ว่านโยบายเป็นอย่างไรต่างหาก!! ที่สำคัญกว่าตัวบุคคล แม้ที่ผ่านมาบรรดาภาคเอกชนต่างนิยมชมชอบหัวหน้าพรรคก้าวไกล ด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความเฉียบคม

หลายคนส่งเสียงเรียกร้อง ให้เปิดโอกาสให้ “คนรุ่นใหม่” โชว์ฝีมือให้เห็นกันก่อน ก่อนตั้งการ์ดไม่ยอมรับ หลายคนบอกเรื่องของประเทศชาติมาทดลองกันไม่ได้ แต่เอกชนอีกหลายคน ก็ตระหนกในเรื่องของการทุบทุนใหญ่ และแนวนโยบายที่อาจสุดโต่งเกินไป

ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ สุ้มเสียงของบรรดาภาคเอกชนต่างเป็นกังวลกันมากในเรื่องของการ “ลงถนน” เพราะหากเกิดขึ้นจนบานปลายเลยเถิด ก็จะซ้ำรอยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แตกแยก

หลายคนเรียกร้องให้ทุกคนคำนึงถึงความ “สามัคคี” เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับประเทศ เพราะอย่าลืมว่า ณ เวลานี้ นอกบ้านกำลังขาดเสถียรภาพอย่างหนัก ซึ่งกลายเป็นปัจจัยลบสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

หากภายในประเทศไม่แข็งแกร่ง ขาดความสามัคคี ก็หนีไม่พ้นที่ต้องถูกโจมตี แม้ไม่ใช่เรื่องของความมั่นคง แต่!! ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของคนทั้งประเทศ

อย่าลืมว่า… ขณะนี้ รายได้จากการส่งออก ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กำลังหดหาย ถอยหลังเข้าคลอง ทั้งที่รายได้จากการส่งออกคิดเป็นประมาณ 60% ของจีดีพีของประเทศ

ตัวเลขการส่งออกของไทยล่าสุด ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ยังคงลดลง 4.6% และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน มีมูลค่า 24,340.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 8.30 แสนล้านบาท

ขณะที่มูลค่าการส่งออกตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนพ.ค. 66 รวม 5 เดือน ยังคงลดลงถึง 5.1% มีมูลค่ากว่า 1.16 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 3.94 ล้านล้านบาท

หากต้องการรักษาภาคการส่งออกให้เป็นเครื่องยนต์หลัก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ก็ต้องทำให้การส่งออกมีการเติบโตที่เป็นบวก หรือเติบโตเช่นเดียวกับปีที่แล้ว

นั่น!! หมายถึงว่า ช่วงหลังจากกนี้ไป ในแต่ละเดือนการส่งออกต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 24,024 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ถ้า…ในเวลานี้สถานการณ์โลก ไม่ใช่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ภาคเอกชนไทยทะลุทะลวงได้แน่นอน เพราะเอกชนไทยน่ะเก่งสุดยอดอยู่แล้ว เพียงแค่ภาครัฐปูทางให้แค่นั้น ก็เดินหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

บางราย!! แทบไม่ต้องให้ภาครัฐมาเป็นนายหน้าคอยเปิดทางให้ด้วยซ้ำไป เพียงแค่คอยสนับสนุน คอยอำนวยความสะดวกในเรื่องที่เกี่ยงข้องกับการค้าการขายแค่นั้นก็พอ!!

หลายคนอาจฝากความหวังไว้ที่ตัวเลขของนักท่องเที่ยว ที่อาจเข้ามาทดแทนเครื่องยนต์การส่งออกได้ แต่ในความจริงแล้ว เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มถดถอย ขณะที่นักท่องเที่ยวหลักของไทยอย่างนักท่องเที่ยวจีน ก็เผชิญปัญหาสารพัด โดยเฉพาะความเข้มงวดจากฝ่ายไทย ก็ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวหดหายไปไม่เป็นดั่งที่หวัง

ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเพียงแค่ 1.3 ล้านคน เท่านั้น ขณะที่เป้าหมายทั้งปีได้คาดหวังไว้ถึง 5-7 ล้านคน ผ่านไปแล้วครึ่งปียังได้ไม่ถึงครึ่ง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่ความคาดหวังจะไปถึงเป้าหมาย

ทั้งหมด…จึงต้องขึ้นอยู่กับ “การเมือง” ว่าจะวางหมากวางเกมส์กันอย่างไร โดยอย่าลืมว่า ทุกวันนี้ ประชาชนคนไทยตาดำ ๆ กำลังกลายเป็น เหยื่อ!!.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”