ในกาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ตอนเลือกตั้งปี 62 ที่มีพรรคอนาคตใหม่อยู่ ตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่ได้ประกาศเรื่องถ้าเขาได้เป็นรัฐบาล เขาจะตั้งแบบ “วางคนให้ถูกทาง” หรือภาษาฝรั่งเรียกว่า put the right man in the right jobนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคจะเป็นนายกฯ แล้วนายปิยบุตร แสงกนกกุล ( ถ้าจำไม่ผิด ) น่าจะเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลด้านกฎหมาย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในวันนี้ คุ้นๆ ว่า มีชื่อเป็นแคนดิเดต รมว.เกษตรและสหกรณ์ น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ หรือครูจุ๊ย จะมาดูศึกษาธิการ เพราะเคยผ่านระบบการศึกษาในฟินแลนด์มาก่อน ซึ่งใครๆ เขายกให้เป็นโมเดลประเทศที่จัดการศึกษาดีที่สุดในโลก และพรรคอนาคตใหม่มี “ปีกแรงงาน” อย่างชัดเจน อย่าง น.ส.วรรณวิภา ไม้สน นายสุเทพ อู่อ้น ก็มาดูเรื่องสวัสดิการทางสังคม

แต่ที่สุดแล้ว ปี 62 พรรคอนาคตใหม่ก็กลายเป็นฝ่ายค้าน และถูกยุบในกาลต่อมา อย่างไรก็ตาม ตอนปี 62 ก็เป็นที่..เรียกว่าน่าสนใจดีกว่า ยังไม่ถึงขนาดฮือฮา ว่า “ได้คนหน้าใหม่ๆ มาบริหารประเทศบ้าง” แล้วเลือกคนที่มีประสบการณ์ ไม่ใช่การแบ่งรัฐมนตรีตามโควตากลุ่ม แบบกลุ่มไหนมี สส.9-10 คนหัวหน้ากลุ่มเอารัฐมนตรีไปเก้าอี้นึง หรือบางพรรคใช้ระบอบอาวุโส คือเคยเป็น สส.มากี่สมัยว่าไป ก็จะได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งถ้าโลกสวยก็ไม่อยากว่า เพราะบางที สส.หรือหัวหน้ากลุ่มพวกนี้ไปเรียนรู้งานจากการเป็นกรรมาธิการ ( กมธ.) สามัญก่อน

ต่อมา เมื่อเลือกตั้งปี 66 เสร็จไปตั้งแต่พฤษภาคม ทางก้าวไกลได้เสียงข้างมากอันดับหนึ่ง ซึ่งนายพิธาก็อารมณ์คล้ายๆ “บีบคอ”เอาพรรคฝ่ายค้านในรัฐบาลปี 62 มาร่วมตั้งรัฐบาล 312 เสียง ตอนหาเสียงในการเลือกตั้งเพื่อไทยประกาศแลนด์สไลด์ให้ได้เกิน 250 เสียง แต่เอาเข้าจริงดันได้แค่ 141 เสียง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไปแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นบัตรเลือกตั้งสองใบหรือไม่ ..เอาจริงถ้าเอาคะแนนรวมทั้งประเทศ จากการเลือกตั้งระบบบัตรใบเดียว เอาคะแนนรวมทั่วประเทศมากำหนดจำนวน สส.พึงมีก่อน แล้วเขตไหนพรรคไหนได้ สส.ก็คือได้เป็น สส. ส่วนคะแนนที่ลำดับสองลำดับสามเอาไปคำนวณเป็นคะแนน สส.บัญชีรายชื่อ ก้าวไกลอาจไม่ได้ถึง สส.ถึง 151 คนก็ได้ เนื่องจาก สส.เขตได้เกิน สส.พึงมีไปแล้ว ..ซึ่งดูตลกร้ายดีที่ตอนแก้รัฐธรรมนูญ จำได้ว่าพรรคก้าวไกลค้านเรื่องไม่คำนวณคะแนนตกน้ำ แต่กลายเป็นว่าถ้าพรรคก้าวไกลค้านสำเร็จ จำนวน สส.อาจน้อยลง และไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์

แล้วกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นไปอย่างที่เราเห็นข่าวกัน อย่าที่ภาษาวัยรุ่นเรียก“ลำไย” คือน่ารำคาญ พรรคเพื่อไทยทำบิดตะกูดให้เห็นแต่แรก ส่อว่าไม่อยากร่วมรัฐบาลกับก้าวไกล ( ถึงขนาด นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเคยพูดลักษณะว่ามีการคลุมถุงชนกับก้าวไกล ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้อยากร่วมกัน )  เสียงขาดไป 60 กว่าเสียงถึงจะได้กึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกฯ ก็บอกว่าเป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลไปหามาเอง ซึ่งตกอยู่ที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และ นส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ต้องวิ่งหาคะแนน เพื่อไทยเหมือนรอดูจังหวะว่า ก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้แล้วถึงได้กระตือรือร้น

และต่อมาไม่นาน นส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ก็ออกมาเล่าเบื้องหลังให้ฟังในการดีลรัฐบาลว่า ตอนนั้นคือเสนอเรื่องการปิดสวิตช์ สว.ให้ดึงพรรคภูมิใจไทยซึ่งมี 71 เสียงมาร่วมรัฐบาลด้วย แต่คนที่ค้านเป็นพรรคเพื่อไทย นี่ก็ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร เพราะไม่ได้อยู่ในวงสนทนาด้วย แต่สรุปคือ พรรคเพื่อไทยวิ่งไปขอพรรคภูมิใจไทยเอง แล้วก็..ดีลหรือไม่ดีลนะกับพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) และรวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.) ให้มาร่วมรัฐบาล พปชร.อยู่ๆ นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชรที่สนิทกับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ก็ประกาศเองว่าจะโหวตให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล แต่ทาง รทสช.โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคยังไว้ท่าหน่อยบอกว่าต้องมีการพูดคุยกัน

คุยกับ "ช่อ พรรณิการ์" ฝ่าชะตากรรม "ก้าวไกล" หรือจะซ้ำ

บางคนก็โกรธที่เพื่อไทยทำแบบนี้ บอกว่า ถ้าต้องรอให้ สว.ใต้ปีก คสช.พ้น 10 เดือนก็พร้อมจะรอ ก็รัฐธรรมนูญมันไม่ได้กำหนดนี่หว่าว่าต้องตั้งรัฐบาลให้แล้วเสร็จหลังเลือกตั้งนานแค่ไหน แต่เพื่อไทยเขาว่าเขารอไม่ได้ เพราะปัญหาประชาชนมีมากโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจรากหญ้า แต่ก็ยังมีหยอดหวานไว้ว่า “นโยบายอะไรที่เป็นประโยชน์ของก้าวไกลเราพร้อมจะทำต่อ” อย่างทำประชามติเพื่อตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( ส.ส.ร.) , ปฏิรูปกองทัพ กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายสุราก้าวหน้าก็พร้อมจะสานต่อ

แต่บางคนที่ดูการเมืองกลางๆ จนถึงค่อนไปทางนางแบก บอกว่า จะไปโทษเพื่อไทยเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญชุดนี้เล่นออกแบบบทเฉพาะกาลมาให้ สว.เลือกนายกฯ ได้สองสมัย ดังนั้นทางมันก็ตีบตันไปหมดถ้าจะไม่เอาพรรคสองลุงนี่มาร่วมเพราะจะไม่ได้เสียง สว. ..ก็สรุปแล้ว ข่าวว่า สว.ขั้ว “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมเพรียงกันโหวตให้ “เสี่ยนิด”นายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกฯ ส่วน สว.ขั้ว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณค่อนไปทางงดออกเสียงซะมากกว่า เพราะข่าวว่ามีคนอาละวาดบาททะลวงอยู่ในบ้านป่ารอยต่อว่า ..อ้าวเฮ่ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า..เกี่ยวกับเรื่องโควตารัฐมนตรี ที่ พปชร.ได้ สส.เยอะกว่า รทสช.กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีเท่ากัน และในระหว่างดีลยังมีความไม่พอใจกันในกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะเอากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นเกรด A+++ ไว้เอง เนื่องจากได้ทำนโยบายหาเสียงกับเกษตรกร โดยว่ากันว่า แคนดิเดตของเพื่อไทยคือนายสมศักดิ์ เทพสุทิน

แต่สุดท้ายก็เหมือนกับเพื่อไทยต้องยอมเฉือนเนื้อยกกระทรวงเกษตรฯ ให้ พปชร.โดย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคจะมานั่งว่าการ แต่กระทรวงนี้เป็นกระทรวงที่ใครๆ ก็อยากได้ สมัยรัฐบาลประยุทธ์เคยมีรัฐมนตรีตั้ง 4 คน คราวนี้เพื่อไทยก็ส่งนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู มานั่ง รมช. ขณะที่ รทสช.ก็อยากได้ ก็เลยส่งนายอนุชา นาคาศัยมาเป็น รมช.เกษตรฯ แล้วก็อ้างว่า รอ.ธรรมนัสมีประสบการณ์เคยเป็น รมช.เกษตรฯ มาก่อน ..ได้เพราะเก่งจริงหรือได้เพราะโควตา“เป็นผู้ใหญ่พรรค” ก็คิดกันเอง เพราะต่างคนก็คิดไม่เหมือนกันหรอก แต่คิดว่า พปชร.จะดึงคะแนนเสียงโดยนโยบายปฏิรูปที่ดินทำกินให้ทั่วถึง และดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรฯ

ข้างฝ่ายกระทรวงมหาดไทย ก็ต้องยกให้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยไป ซึ่งมหาดไทยเป็นกระทรวงที่คุมการเลือกตั้งท้องถิ่น การเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถบริหารจัดการเรื่องทำคะแนนเสียงในพื้นที่ได้ …การยกสองกระทรวงที่สร้างคะแนนเสียงให้พรรคร่วม ทำให้ข่าวว่าไลน์กลุ่ม สส.เพื่อไทยเดือดพล่านกันเลยทีเดียวว่า ไม่เอากระทรวงที่ทำผลงาน ทำพื้นที่ให้ สส.เขตได้มาไว้เอง เพื่อไทยก็ทำได้แค่ส่งนายเกรียง กัลป์ตินันท์ แกนนำ สส.อีสานของพรรคที่ดูเหมือนค่อนข้างสนิทสนมกับนายทักษิณ ชินวัตร ไปนั่งให้มีรัฐมนตรี 4 คน ซึ่งก็ไม่รู้จะได้ดูอะไร เพราะมหาดไทยงานมันไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อนที่มีถึง มท.5 เนื่องจากดูกรมแรงงานกับกรมตำรวจ ส่วนอีกสองคนคือนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้กว้างขวางแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง และนายทรงศักดิ์ ทองศรี คนสนิทนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทยไปนั่งช่วยว่าการ ก็รอดูกันว่า มท.ไหนจะคุมกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมที่ดิน

เจอรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีใหม่ไป ก็มีแต่เสียงเหน็บแนมว่า put the right man in the right job จริงหรือเปล่า ? บางคนมากับโควตาพรรค ซึ่งของเพื่อไทยนี่ถูกสังเกตว่า เป็นคนใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตรเสียก็หลายคน อย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย ครั้งหนึ่งสมัยที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทยยังมีอิทธิพลมากในพรรคเพื่อไทย ก็แยกตัวออกไปตั้งกลุ่มแคร์ ซึ่งก็ดูกลุ่มแคร์นี่ผูกพันกับนายทักษิณอยู่ไม่ใช่น้อย สังเกตจากการที่นายทักษิณมาจัดรายการในคลับเฮาส์ให้เรื่อยๆ หรือล่าสุด พลิกเอาชื่อนายพิชิต ชื่นบาน ทนายความนายทักษิณ และทนายความคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แบบที่เรียกว่า “มาเหนือเมฆ” เพราะไม่รู้อยู่ๆโผล่มาได้อย่างไร แล้วตัดนายชูศักดิ์ ศิรินิล ฝ่ายกฎหมายพรรคออกไปก่อน

ส่องประวัติ "พิชิต ชื่นบาน" ทนายถุงขนม มือกฎหมายตระกูลชิน ในวันที่ติด

รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดิมก้าวไกลจะเอา วางตัวคนไว้แล้วคือ “สส.เท้ง”นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่แสดงวิสัยทัศน์อะไรของตัวเองเรื่อยๆ ปรากฏว่า เปลี่ยนไปให้เลขาธิการพรรคเพื่อไทยคือนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ซึ่งพวกสายดิจิทัลเขาก็นินทากันว่ามีวิสัยทัศน์อะไรบ้าง ในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม พรรคก้าวไกลเขาอยากให้เป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจก้าวหน้า ทำเรื่อง soft power  ยังไม่แน่ใจว่าก้าวไกลวางตัวใคร แต่โผออกมาเป็น “ปลัดปื๊ด”นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตปลัดมหาดไทยและอดีต รมช.มหาดไทย ซึ่งน่าจะต้องให้เป็นการ“ชดเชย” ตอนเลือกตั้งแตกแบงค์ปี 62 ไปตั้งพรรคไทยรักษาชาติ ( รทสช.) แล้วพรรคก็มีอันเป็นไปให้ต้องยุบ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง รท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นบุตรชายนายเสริมศักดิ์ไป 10 ปี …มีคนแซวว่า “เจ๊แดง”นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช อาจมาช่วยดูเนื้อหาวัฒนธรรมที่ควรส่งเสริม อันนี้ก็ไม่ทราบ รอดูตอนเขาทำงาน

รมว.ศึกษาธิการ ก็ยังเป็นตระกูลชิดชอบ จากที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค โดนพักงานทางการเมืองไปเพราะถูกเรื่องร้องเรียน คราวนี้ส่ง “บิ๊กอุ้ม พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ” ( ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีเป้าหมายมีไว้พุ่งชน )  น้องชายนายเนวินมาคุมศึกษาธิการ ซึ่งเท่าที่ฟังการหาเสียงมา พรรคภูมิใจไทยเหมือนนโยบายชัดเจนเรื่องลดหนี้หรือยกเลิกหนี้ กยศ. แต่สายศึกษาธิการเขาว่า “กลไกภายในมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ หน่วยงานเยอะ ต้องการคนรู้จริง” เอาเป็นว่าเขาจะพัฒนาระบบการศึกษาอย่างไรก็รอฟังตอนแถลงนโยบายแล้วกัน ไม่อยากรีบว่า ..ศึกษาธิการนี่ดูเป็นกระทรวงอาภัพ เพราะไม่เห็นมีใครค่อยอยากได้ แม้จะเป็นกระทรวงใหญ่งบเยอะ

นึกถึงสมัยรัฐบาลก่อนๆ  รัฐมนตรีบางคนเหมือนจะมาจากโควตากลุ่ม ก็โดนตั้งคำถามเหน็บแนมไม่หยุด อย่าง รอ.ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มานั่งเป็น รมช.คลังในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ก็ถูกตั้งคำถามว่า “เชี่ยวชาญอะไรเกี่ยวกับคลัง” เที่ยวนี้รัฐมนตรีหลายคนก็ถูกตั้งคำถามว่า put the right man in the right job จริงไหม หรือแค่โควตาเป็นคนใหญ่คนโตในพรรค โควตามาจากนายทักษิณกำหนด ( เขาคงคุยกันตั้งแต่ก่อนนายทักษิณกลับไทย )

ข้างฝ่ายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ควบ รมว.คลัง ก็มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แถมมีข้อครหาเรื่องการซื้อขายที่ดินอยู่ ฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลเพื่อไทยก็ตั้งข้อสังเกตว่าจะมีนโยบายอะไรเอื้อธุรกิจเก่าของตัวเองหรือเปล่าก็นายทุน ดูที่นายเศรษฐากระตือรือร้นมากคือเรื่องการเปิดตลาดท่องเที่ยว จะฟรีวีซ่าจีนอินเดียบ้าง ขยายเวลาวีซ่า เพราะการท่องเที่ยวเชิงมารักษาสุขภาพ ( wellness ) ต้องใช้เวลาอยู่ยาว แถมนายเศรษฐาก็มีแผนไปโร้ดโชว์เรื่องท่องเที่ยวไทยปีหน้า จะดึงเอาต่างชาติมาซื้อคอนโดมีเนียม หรือปรับนโยบายอะไรเกี่ยวกับการเช่า การซื้อที่ดินของต่างชาติหรือไม่ ..ในส่วนคลัง คนที่น่าจะ put the right man in the right job น่าจะเป็นนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดคลัง ซึ่งเดิมเป็นโควตาเพื่อไทย แล้วก็ทำเอาคนดูงงตาแตกเพราะอยู่ๆ ไปเป็นโควตา รทสช.ซะอย่างนั้น

ฝ่ายนางแบกเขาก็ว่า ก็ให้รอดูการทำงานก่อน หรือไม่ก็บอกว่า หลายๆ คนเคยเป็น สส.มีอาวุโสพอที่จะขึ้นเป็นรัฐมนตรีแล้ว เอาคนเก๋าๆ มาดีกว่าคนหน้าใหม่ ฯลฯ พันหมื่นเหตุผลถ้ารักจะแบกก็ต้องแบกหลังแอ่นไปเรื่อยๆ แต่เชื่อว่า การที่มีคนอกหักเยอะ แบบกูอยู่มานานไม่เป็นรัฐมนตรีเสียที ก็น่าจะมีการปรับ ครม.บ่อยๆ แต่จะปรับโดยมีเงื่อนไขไม่ชิงเก้าอี้โควตาพรรคร่วมหรือไม่ก็รอดูกันไปในอนาคต ถ้า “พยายามมองด้วยใจเป็นกลาง” ก็บอกว่า ต้องให้โอกาสบริหารประเทศไปก่อน ดูเรื่องอื่นๆ ด้วยไม่ใช่แค่เพื่อไทยทำเรื่องแจกเงินหมื่นได้ก็บอกว่าทำงานดีแล้ว

ที่สำคัญคือ กฎหมายที่เป็นที่จับตาหลายฉบับตกไปแล้ว เนื่องจากหยิบมายืนยันในสองเดือนหลังเปิดประชุมสภาสมัยสามัญเลือกนายกฯ ไม่ทัน 60 วันก็เริ่มนับหนึ่งใหม่ คือไปเข้าแถวใหม่ว่างั้นเถอะ เขาก็รอดูว่า สุราก้าวหน้า กัญชาทางการแพทย์ สมรสเท่าเทียม ที่พูดๆ กันมากนี่ จะมีแก้ไขในหลักการอะไรหรือเปล่า และกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างการจัดอัตราภาษีใหม่ การสมัครใจเกณฑ์ทหาร จะทำอย่างไร

เราๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากจับตาดูรัฐบาลทำงาน แต่มีคนแถวๆ นี้ฝากถามว่า นายทักษิณ ชินวัตร หายป่วยออกจากโรงพยาบาลตำรวจพร้อมไปอยู่เรือนจำหรือยัง กลับมาไทย 22 ส.ค.ป่วยเลย แล้วอยู่ รพ.ตำรวจมาจนจะสิ้นเดือนแล้ว โรคก็ไม่ชัดว่าเป็นอะไร บางคนยกตัวอย่างเทียบกรณี “อากง” นายอำพล ตั้งนพกุล ผู้ต้องหาคดี ม.112 ที่เป็นมะเร็งขอประกันตัวมารักษากลับไม่ได้รับสิทธิ์ได้รับการรักษาหรือสิทธิ์การประกันตัว จนตายคาคุก

โผรัฐมนตรีไม่นิ่งสักที ยึกยักชักเข้าชักออกทั้งเพื่อไทยและพรรคร่วม รอดูโปรดเกล้าฯ อาจมีเซอร์ไพรส์

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”