อาทิตย์ที่ผ่านมา การเมืองร้อนระอุเป็นไฟ จากกรณีคำสั่งปลดฟ้าแลบ 2 รัฐมนตรี คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน จนนำไปสู่การตีความว่า “จะเกิดรอยร้าวอะไรขึ้นในรัฐบาลหรือไม่” โดยเฉพาะใน “พี่น้อง 3 ป.” เพราะ รมช.ทั้งคู่ถือเป็น “ลูกรัก” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) จนถึงขนาดมีข่าวว่า การตัดสินใจของ “น้องตู่” ทำเอา “พี่ป้อม” นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว เพราะไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน

และ ร.อ.ธรรมนัสนี่ ถือว่าเป็น “กำลังสำคัญ” ของพรรค พปชร.อยู่ ..สำคัญขนาดไหน ถึงขนาดเปรียบตัวเองเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพรรคได้ ชนิดที่ว่า “ใครโค่น ร.อ.ธรรมนัสได้ เท่ากับโค่นพรรค พปชร.ได้” และที่ผ่านมาก็มีข่าวว่า เป็น “ดีลเมคเกอร์” สำคัญหลายงานตั้งแต่การดึงพรรคเล็กเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล การดูแลกลุ่มเหนือและอีสานในพรรค ร่วมกับนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล และ นายเอกราช ช่างเหลา จากขอนแก่น

เรียกว่า “ปลดสายฟ้าแลบ” ก็ไม่ผิดนัก เพราะช่วงก่อนปลด ร.อ.ธรรมนัสยังประกาศจะผลักดันงานโน่นนี่ อาทิ การผลักดันให้จังหวัดในภาคใต้ที่มี ส.ส.พปชร. เป็นพื้นที่ผลิตพืชกระท่อมหลังมันถูกกฎหมาย และ เตรียมพร้อมเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะเรื่อง อบต. เพื่อสร้างฐานเสียงในระดับเล็กที่จะส่งผลต่อการเมืองระดับชาติต่อไป ส่วนกรณีผู้ว่าฯ กทม. แม้พรรคจะไม่มีมติชัดเจนว่า ส่งใครลงชิงเก้าอี้เมืองหลวง แต่ก็มีข่าวออกมาตลอดว่า พรรคสนับสนุน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ซึ่งหัวหน้าทีมของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ คือ “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรค ก็เพื่อน ร.อ.ธรรมนัส

เพราะการ “คุมอำนาจ” มากขนาดนี้ ทำให้เมื่อ ร.อ.ธรรมนัสถูกปลดก็มีข่าวลือมั่วไปหมด ที่สำคัญคือ เรื่อง “อาจมีการยุบสภา” เพราะไม่แน่ใจเรื่องเอกภาพ ส.ส.ใน พปชร. แล้วว่ากลุ่มที่สนับสนุน ร.อ.ธรรมนัสจะ “เอาคืน” อะไรบ้างหรือไม่ ถ้าพรรคใหญ่สุดในรัฐบาลคุมเสียงข้างมากไม่ได้ เกิดความขัดแย้งก็ต้องนำไปสู่การยุบสภาเพื่อ “จัดการอำนาจ” กันใหม่ แต่เมื่อตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายสำคัญที่สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลเข้าได้ ก็เรียกว่า “สงครามยังเพิ่งเริ่ม” เลยยังประเมินยากว่ามีความ “กระด้างกระเดื่อง” เกิดขึ้นในพรรคมากแค่ไหน

สถานการณ์ในพรรคจะเป็นอย่างไรต่อไป ขึ้นอยู่กับ “บิ๊กป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคแล้วว่าจะใช้ “กำปั้นเหล็ก” คุม ส.ส.ได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ให้เกิดงูเห่าในพรรค พปชร. ที่เร่งดีกรีให้เกิดการยุบสภาก่อนที่จะย้ายพรรคไปตาม “ลูกพี่” อย่าง ร.อ.ธรรมนัส ที่ประกาศชัดเจนในวันแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ว่า “ใจผมมันไม่อยู่แล้ว” …ในทางการเมือง “บิ๊กป้อม” (รวมถึงบิ๊กตู่) จำเป็นต้องเช็กเสียง “คนที่ใจมันไม่อยู่” กับ “คนที่ยังสองจิตสองใจ”

สาเหตุการปลด ร.อ.ธรรมนัสนั้น ก็เป็นที่หลายสื่อรายงานไปแล้วว่า มีการต่อรองเรื่องการปรับ ครม.กับ พล.อ.ประวิตร ..กลุ่ม 3 ช. คนที่เป็นรัฐมนตรีช่วย” ก็อยากขึ้นว่าการ โดยอ้างเหตุผลว่า การเป็น รมช.นั้นไม่มีอำนาจเต็ม งบประมาณอะไรก็บริหารได้ไม่เต็มที่ แล้วจะสร้างกระแสที่ดี สร้างผลงานให้พรรคได้อย่างไร โดยเฉพาะ รัฐบาลเองก็โดนถล่มเรื่องการแก้ไขปัญหาโควิดอยู่  ม็อบก็มี การทำผลงาน เพื่อให้เกิดกระแสด้านบวกแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญมาก

เลยมีรายงานข่าว “ซึ่งต้องพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่” ว่า มีการยุพี่ใหญ่ 3 ป. ถ้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจปลดน้องเล็ก 3 ป.ได้ ครม.ต้องพ้นทั้งคณะแล้วเลือกนายกฯ กันใหม่ คราวนี้เสียงโหวตหนุน “บิ๊กป้อม” แน่ และก็มีคนฝันหวานอยากนั่งว่าการมหาดไทย เพราะอำนาจเยอะ คุมแต่งตั้งโยกย้ายพ่อเมือง แต่ “บิ๊กป้อม” ถามว่า “มึงจะให้กูทรยศน้องกูเหรอ” แล้วคิดว่าเรื่องนี้คงรั่วไปถึงหูน้องเล็ก 3 ป.ให้ควันออกหูซะงั้น                

ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 1 ก.ย. “บิ๊กตู่” ออกมาสัมภาษณ์ยาวเหยียดหลังจากหลบสื่อไปพักใหญ่ๆ ว่า เรื่องโหวตล้มนายกฯ ถ้าเป็นจริงถือว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษ เพราะไม่ใช่เวลาที่จะทำอย่างนั้น นายกฯ เข้ามาทำงาน 100% ในทุกเรื่อง และเรื่องยุบสภานั้นมีการแอบอ้างหรือไม่ พร้อมยืนยันว่า คุยกับ “บิ๊กป้อม”แล้ว ยืนยันไม่มีการยุบสภา และสิ่งที่เป็น “คีย์เวิร์ด” สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า นายกฯ ไม่พอใจกระแสข่าวการเคลื่อนไหวอย่างมากคือ “การแอบอ้างมีการเปลี่ยนตัว แอบอ้างเบื้องสูงนั้น ถือเป็นความผิดร้ายแรง ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ได้มีโอกาสถวายข้อราชการคนอื่นไม่มี โอเคไหม ชัดเจนไหม” 

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นเซ็งแซ่ขึ้นมาในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันว่า 3 ป.นั้นเป็นทหารที่ถูกหล่อหลอมให้จงรักภักดีต่อสถาบัน ยิ่ง “บิ๊กตู่” นั้นมาสาย “ทหารเสือราชินี” การแอบอ้างเบื้องสูง ..ไม่ว่าจะใครก็ตามกระทำ ย่อมสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด …ซึ่งก็ไม่รู้ว่า การ “แอบอ้างเบื้องสูง” ที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึง มีผลต่อการตัดสินใจภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจแค่ไหน อย่างไร แต่ในที่สุดก็เป็นข่าวอย่างที่เราเห็นว่ามันเป็นที่ฮือฮาไปเมื่ออาทิตย์ก่อน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนายกฯ ตัดสินใจไปแล้ว สถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อหรือที่เรียกว่า move on ความขัดแย้งที่ว่า “บิ๊กป้อม” ไม่พอใจ “บิ๊กตู่” ที่ปลดลูกรักสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ก็เห็นว่า “พี่น้อง 2 ป.เคลียร์กันไปเรียบร้อยแล้ว” จากนี้ก็มีการเดินหน้าทำงานต่อไป รักษาเสถียรภาพของรัฐบาลไว้ให้ได้อยู่ครบวาระ เพราะถ้ามีการยุบสภาหรือเปลี่ยนนายกฯ ตอนนี้ ก็ไม่เป็นผลดีกับพรรค พปชร.และพรรคร่วมรัฐบาล

ประเด็นทางการเมือง “น้องตู่” ก็ต้องปล่อยให้ พี่ป้อม” จัดการเรื่องเสถียรภาพในพรรคไป จะพูดคุยกันอย่างไรก็ตามแต่ แต่ อย่าให้มีผลกระทบต่อเสียงในสภากรณีกฎหมายสำคัญ (ขณะนี้ที่เห็นว่า กฎหมายที่เป็นตัวแปรทางการเมืองน่าจะมีเรื่อง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.) ส่วนนายกฯ เองก็ต้องเดินหน้าทำงาน สถานการณ์โควิดไม่ใช่เรื่องที่เอามาเล่นการเมืองกัน เมื่อนายกฯ เป็นทหาร ที่ยึดหลัก “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ก็ต้องเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป ทั้งเรื่องวัคซีน เรื่องเครื่องตรวจด้วยตัวเอง (ATK) ที่เพียงพอและเข้าถึงประชาชนคนจนได้ และที่สำคัญคือเรื่อง การใช้เงินกู้เพื่อมาตรการเยียวยา ต้องตัดสินใจให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด

ความผันผวนทางการเมืองให้มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ หรือเลือกตั้งใหม่ จะทำให้การแก้ปัญหาในขณะนี้เกิดการสะดุด รัฐบาลรักษาการไม่สามารถใช้อำนาจได้เท่ารัฐบาลอำนาจเต็ม ถ้าจะเชียร์ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเห็นทีจะต้องรอให้รัฐบาลนี้ จัดการสถานการณ์โควิดให้คลี่คลายลงไปได้ระดับหนึ่งก่อน ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่หนักของรัฐบาลอยู่เพราะคนติดเชื้อ คนป่วยที่เป็นคนจนต้องการรับความช่วยเหลือที่เป็นสวัสดิการของรัฐมีเป็นจำนวนมาก …ง่ายๆ เมื่อนายกฯ ไม่ได้ลาออกจากการถูกโหวตไม่ไว้วางใจ จะให้เลือกตั้งใหม่ มันต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนกว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้มาทำงานต่อ

ส่วนการตัดสินใจปรับ ครม. ที่ “บิ๊กตู่” บอกว่า “ผมทำของผมเอง” นั้น เข้าใจว่าส่วนหนึ่งก็ เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาล ที่จะไม่ให้มีกลุ่มไหนมา “ต่อรองตำแหน่ง” ในฝ่ายบริหารจนการทำงานสะดุดในนาทีที่ต้องการสมาธิทำงานที่สุด และรัฐมนตรีที่โดนปรับออก ..ถ้าจะว่าไม่มีผลงานโดดเด่นก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย ..ในส่วน ร.อ.ธรรมนัสนั้นได้รับมอบหมายให้ดูเรื่อง สปก. ซึ่งถ้าประชาสัมพันธ์ผลงานตัวเองเป็น ประกาศดูแลเรื่องอื่นๆ ในนามพรรคด้วย ก็คงจะได้ชื่อว่า “เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงาน” อย่างที่บอกไปคือเรื่องการเตรียมส่งเสริมการปลูกพืชกระท่อม ก็เป็นผลงานได้

แต่ในส่วนนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ..ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่กลายเป็นหนึ่งใน “รัฐมนตรีโลกลืม” คือมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่กำกับดูแลอยู่ กลับไม่ค่อยสร้างผลงาน ..ในช่วงโควิดระบาด กรมนี้สามารถทำผลงานได้เยอะในการฝึกฝนทักษะวิชาชีพแรงงาน รัฐมนตรีเสนอโครงการที่ต้องการทำได้เยอะแยะ แต่กลับเงียบ ..อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย คือแทบไม่มีข่าวนอกจากไปออกงานคู่กับ ร.อ.ธรรมนัส …จนวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ต้องไปดูงานของกรมเองและประกาศเรื่องแรงงานที่ต้องการการฝึกฝนฝีมือเพื่อพัฒนาอาชีพช่วงโควิด ติดต่อสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือดูรายละเอียดที่เว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th หัวข้อกำหนดการฝึกอบรม

คือความเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ ถ้ามีวิสัยทัศน์ทำงานมากพอ ก็สามารถสร้างผลงานได้ … มันก็ชวนให้คิดว่า ที่นายกฯ พูดว่า “การปรับ ครม.เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน” นี่เพราะมีใคร “งอแง” ไม่ยอมทำงานหรือไม่ ไม่ใช่มีแค่เรื่องปัญหาความขัดแย้งที่มีรายงานข่าวออกมาเป็นระยะ  

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เมื่อ “ตัดสินใจครั้งสำคัญ” ไปแล้ว รัฐบาลก็ต้องเดินหน้าต่อ ปัญหาให้แก้มีเยอะแยะ นอกจากโควิดตอนนี้ น้ำท่วมก็กำลังจะเข้ามา แล้วมีปัญหาในระยะยาว เรื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจ อีก ซึ่งรัฐบาลเองก็หวังให้อยู่ครบเทอม พยายามทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด แล้วก็รอดูผลของมัน ถ้าประชาชนไม่พอใจก็จะไปสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนรัฐบาลตามกลไกรัฐธรรมนูญ คือการเลือกตั้งใหม่ ตอนนั้นค่อยว่ากันอีกครั้ง แต่ปัญหาเฉพาะหน้า ย้ำว่า รัฐบาลนี้ต้องแก้ให้ได้ก่อน

และเป็นอย่างที่หัวเรื่องบอกไป “บิ๊กตู่” เลือกความสงบ ก็ต้องจัดการอะไรที่น่าสงสัยว่าจะเป็น “หอกข้างแคร่” หรือไม่ จากนั้น “พี่ป้อม” ก็ต้องประคองน้องรัก 3 ป.ต่อไปในฐานะ ดูแล พปชร. อย่าให้เกิดปัญหาวอกแวกในการทำงาน ส่วนเรื่องที่อ้างว่า นายกฯ ไม่ค่อยสนใจ ส.ส. ก็รอดู การปรับตัวของ “บิ๊กตู่” ว่าจะลงพื้นที่รับฟังปัญหาพื้นที่มากน้อยแค่ไหน เข้าถึงประชาชนและ ส.ส.เพิ่มมากขึ้นแค่ไหน

การเมือง ไม่มีใครทิ้งเก้าอี้ตอนเพลี่ยงพล้ำ รอดูว่ารัฐบาลนี้จะแก้ปัญหาได้แค่ไหน แล้วมาวัดกันตอนเลือกตั้งใหม่.

………………………………………….
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”