ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก!!…ตลอด…ตลอด กับรัฐบาล “เศรษฐา 1” นัยว่า เป็น “บททดสอบใหญ่” สำหรับนายกรัฐมนตรีป้ายแดง!!
กว่าจะได้รับการโหวตให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 30 ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ตามวิถีการเมือง ที่จัดสรรกันมา เมื่อเข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศ ก็สารพัดปัจจัยถาโถมใส่เข้ามาให้แก้ไข
ทั้งเรื่องการชูธงในเรื่องของ “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ที่ถูกคัดค้านจากบรรนักเศรษฐศาสตร์มาตั้งแต่ต้น แม้ในช่วงเริ่มต้นรัฐบาล เสียงคัดค้าน!! ยังไม่เซ็งแซ่
ทั้งเรื่องของการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ด้วยการเดินสายต่างประเทศ เพื่อประกาศให้นักลงทุนมั่นใจว่า ณ เวลานี้ ประเทศไทย “เปิดแล้ว” ที่จะรองรับนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งเรื่องของการเดินสายแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ที่หลายจังหวัดในเวลานี้ กำลังเผชิญความทุกข์ยากลำบาก เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

ไม่เพียงเท่านี้!! เรื่องการฟื้นการท่องเที่ยว ซึ่งก็เป็นความหวังในกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการวีซ่า -ฟรี ให้นักท่องเที่ยวจีนและคาซักสถานเป็นการชั่วคราวจนถึงเดือนก.พ.ปีหน้า
ถือเป็นมาตรการแรก ๆ ที่ออกมา เพราะเชื่อมั่นว่า จะเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางกลับมาเที่ยวไทยเหมือนเดิม โดยเฉพาะในช่วงโกลเด้น วีค ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.66

บรรยากาศ… ก็เป็นไปด้วยดี แม้ว่าไม่เป็นไปตามคาด หรือเกินฝัน แต่ก็ปรากฎเหตุการณ์ “กราดยิง” จากเด็กวัย 14 ปี เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา
เหตุการณ์นี้ ก็กระตุกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอีกครั้ง เพราะปรากฎว่ามีนักท่องเที่ยวจีน เสียชีวิต แถมยังซ้ำร้ายด้วยโลกออนไลน์ ที่กระหน่ำคอมเม้นท์ ว่ามาเที่ยวไทยแล้วไม่ปลอดภัย
ทำเอา รัฐบาลต้องตั้งศูนย์คอมมานด์ เพื่อร่วมมือกันเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องของ “ความปลอดภัย”
ด้วยการคลอดแผนระสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดำเนินการให้ดีที่สุด เพื่อทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย กลับไปอยู่ในใจนักท่องเที่ยวให้ได้
ยังไม่ทันจะหมดเรื่องของเหตุการณ์ “กราดยิง” ก็ปรากฎว่า รัฐบาลต้องเผชิญกับปัญหาที่ควบคุมไม่ได้จากเหตุการณ์ ถล่มยิง ของอิสราเอล และปาเลสไตน์ เข้าให้อีก

เหตุการณ์นี้… แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับไทย แต่!! คนไทยที่ไปทำงานในพื้นที่เกิดเหตุก็มีจำนวนไม่น้อย มากถึง 5,000 คน เบื้องต้น ก็มีคนไทยโดนลูกหลง มีผู้เสียชีวิต มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้ถูกจับเป็นตัวประกัน
การถล่มยิง…ครั้งนี้ มีผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้แรงงานคนไทย โดยตรง ที่เดินทางไปทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ ส่งเงินกลับมาให้ทางบ้าน
บรรดาพี่น้องของผู้ใช้แรงงานเหล่านั้น ต่างรอคอยความหวังว่าจะได้เห็นลูกหลาน ผู้นำครอบครัวของเค้า มีความปลอดภัย แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถก้าวล่วงไปทำอะไรได้ นอกจากประสานงานและขนคนไทยที่มีอยู่กว่า 25,000 คนที่อิสราเอล ให้กลับบ้านอย่างปลอดภัย
ทั้งหลายทั้งปวง เหมือนพายุที่โถมเข้ามาสู่รัฐบาลของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ด้วยหวังที่จะวัดฝีไม้ลายมือว่า แก้ปัญหาได้โดนใจคนไทยมากน้อยเพียงใด
เช่นเดียวกับ…เรื่องของการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ทุกวันนี้ดูเหมือนกระแสคัดค้านจะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น หลังจาก ครม.ไฟเขียวให้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน ดิจิทัล วอลเลต เมื่อวันที่ 3 ต.ค.66

เสียงคัดค้าน…จากนักเศรษฐศาสตร์ เริ่มหนักหนา เริ่มเสียงดัง จนถึงกับมีการลงชื่อคัดค้านกันอย่างเปิดเผย 117 คน โดยเฉพาะจากอดีตผู้บริหารแบงก์ชาติ
สารพัดเหตุผล สารพัดข้อมูล ต่างถกหยิบยกขึ้นมาให้ฝ่ายบริหารประเทศ ได้มองเห็นว่า…สุดท้ายแล้ว!! ผลของโครงการแจกเงินดิจิทัล ครั้งนี้ จะทำร้ายเศรษฐกิจ จะทำร้ายคนไทยอย่างไรบ้าง
ที่หนักหนาสาหัส ก็คือ…เรื่องของการสร้างหนี้ ให้กับคนไทย สร้างภาระทางการคลัง ให้กับคนไทย เพราะนักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้มองว่า เงินที่ใส่ลงไป 5.6 แสนล้านบาทนี้เป็นเงินมหาศาล และจะไปหมุนเศรษฐกิจได้ไม่กี่รอบ
ผิดกับการนำเงินมหาศาลเหล่านี้ไป “ลงทุน” พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่าง ๆของประเทศ ซึ่งจะทำให้ศักยภาพของประเทศเข้มแข็งและแข็งแรงมากกว่า
ก็เป็นที่รู้กันดี…ในเมื่อรัฐบาล ตั้ง “ธง” กับโครงการนี้ เพื่อซื้อใจคนไทยทั้งประเทศ กว่า 10 ล้านคน จะให้ “ล้ม” ง่าย ๆ คงเป็นไปไม่ได้!!
อย่างที่รู้กัน สารพัดโครงการประชานิยมที่เกิดขึ้น แม้ถูกใจคนไทย แต่สุดท้าย…คนไทยทั้งประเทศเองนั่นแหล่ะ… ที่หนีไม่พ้นต้องแบกรับภาระ!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”