โลดแล่นในวงการมานานกว่า 10 ปีแล้ว สำหรับนางเอกหน้าหวาน เดียร์น่า ฟลีโป ที่ภายใต้ชีวิตในวงการบันเทิงที่มองดูไม่หวือหวา แต่เดียร์น่านั้นเป็นอีกคนที่ต้องใช้ความมานะพยายามในการพิสูจน์ตัวไม่แพ้กัน และล่าสุดเจ้าตัวได้ปล่อยอีกครั้ง ในละคร “วิมานสีทอง” ทางช่องวัน 31 ที่จะเริ่มออนแอร์ตอนแรกในที่ 22 ม.ค. นี้ ซึ่งถือเป็นละครเรื่องแรกในรอบ 2 ปีหลังจากที่เธอออกมาเป็นนักแสดงอิสระ งานนี้ “ดาวต่างมุม” ขอไปนั่งพูดคุยกับสาวคนนี้แบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ทั้งบทบาทที่ท้าทาย ต่างจากเดิมครั้งนี้ ไปจนถึงเส้นทางในวงการ ที่เจ้าตัวเจอรับกับ “ดราม่า” ตั้งแต่เริ่มรับงานโฆษณา และการทำงานในวงการที่หลายครั้งก็ทำให้เธอเสียน้ำตา แต่ทุกประสบการณ์ก็หล่อหลอม จนกลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับเดียร์  รวมถึงเส้นทางการเป็นนักแสดงอิสระ อีกทั้งยังไม่พลาดพูดคุยเรื่องน้องสาวคนสนิท อย่าง ลลิษา มโนบาล หรือ  “ลิซ่า BLACKPINK” ศิลปินระดับโลก ในหลายเรื่องที่แฟน ๆ อาจยังไม่เคยรู้ ทั้งเปิดที่มาที่ทำให้ได้มาสนิทกัน ไปจนถึงความประทับใจในตัวลิซ่าที่ใครได้ยินต้องใจฟูสุด ๆ รวมทั้งเปิดเรื่องราวความรักกับแฟนหนุ่มนอกวงการ เหตุผลที่ไม่ยอมโพสต์รูปคู่ และมุมมองเรื่องวิวาห์

ผลงานล่าสุด “วิมานสีทอง”  ความน่าสนใจของเรื่องนี้คืออะไรที่ทำให้เราอยากร่วมแสดง?

“ตอนนี้เดียร์ก็เป็นนักแสดงอิสระ ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่ช่องวันได้เสนอละครให้เรา และพออ่านบทก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก ๆ เป็นเรื่องที่ดูจะได้ทำอะไรใหม่ ๆ เป็นบทบาทที่เรายังไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน ก็ตัดสินใจไม่ยาก ซึ่งเรารับบทเป็น ‘โรยทอง’ คาแรกเตอร์เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจ เป็นคนสมัยใหม่มาก ๆ จะไม่ใช่เวอร์ชั่นอ่อนแอ เป็นนางเอกเจ้าน้ำตาแล้ว แต่จะสู้คนและถ้าใครทำอะไรไม่ดีกับเรามา เราก็พร้อมที่จะไฟว้ท์และรักครอบครัว สิ่งที่เดียร์รู้สึกเหมือน ‘โรยทอง’ และค่อนข้างจับถึงได้ง่าย คือเป็นผู้หญิงที่สู้ได้ด้วยตัวเอง ตัวเดียร์เองก็ไม่ได้ต้องพึ่งพาใครเยอะ พ่อแม่สอนมาให้เราทำทุกอย่างด้วยตัวเองให้ได้ เราก็ลุยเหมือน ‘โรยทอง’ ส่วนสิ่งที่รู้สึกจับถึงยาก อาจเป็นเรื่องของความทันสมัยของเขา เขาอาจกล้ามากกว่าเรา เจอผู้ชายแค่วันเดียว เขารู้สึกว่าถ้าต้องจูบกับคนนี้ ก็ไม่ได้คิดมาก ซึ่งเดียร์อาจยังไม่ถึงจุดนั้น ไม่ได้กล้าหรือมั่นได้ขนาดเขา ก็ต้องทำการบ้านเหมือนกัน ว่าเขาอาจมีมุมมองอื่นที่ต่างออกไป”

 ได้มาร่วมงานกับ “ช่องวัน” เป็นครั้งแรก ปรับตัวเยอะมั้ย?

“ก็ตื่นเต้น แรก ๆ เราก็ไม่รู้ว่าที่นี่จะทำงานแบบไหน แต่พอเริ่มเปิดกองก็รู้สึกว่าทุกอย่างชิล และสบายใจมาก ๆ เป็นเรื่องที่อยากมากองมาก ๆ เพราะสนุก และนักแสดงทุกคนก็ค่อนข้างสนิทกันง่าย กลมเกลียมกันมาก เป็นละครเครียดมาก ดราม่ามาก ร้องไห้บ่อย ปะทะคารมกัน แต่เบื้องหลังแฮปปี้ ทำงานง่าย ผู้กำกับ พี่หน่อย (สยาม น่วมเศรษฐี) ก็น่ารัก เข้าใจเรา เปิดกว้างให้เราดีไซน์บท ความคิดเห็นของตัวละคร ทุกอย่างราบรื่นมาก ๆ ”

การได้ร่วมงานกับ “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” เป็นยังไง ปรับตัวเยอะมั้ยในการเป็นพระนาง?

“ร่วมงานกับฟิล์มครั้งแรก และเป็นพระเอกคนแรกที่เรามาแสดงด้วยหลังจากเป็นอิสระ เราได้มาเจอเขาเลย ก็เข้ากันง่ายมาก ๆ ด้วยความที่อายุไล่เลี่ยกันด้วยและมีความไว้ใจกันด้วย เวลาที่เราจะเล่นฉากยาก ๆ เวลาดราม่า หรือฉากเลิฟซีน มันก็ค่อนข้างใหม่มากสำหรับเรา ที่ผ่านมาเราก็จะเป็นแบบเลิฟซีนกุ๊กกิ๊ก ไม่มีอะไรมาก แต่เรื่องนี้ดราม่าและสมัยใหม่ เข้มข้น เลิฟซีนสมจริง จริง ๆ เดียร์ไม่ได้รู้สึกลำบากใจในการเล่น ไม่ได้ยากขนาดนั้น  เพราะพาร์ทเนอร์ให้กำลังใจเรา เป็นมืออาชีพและจับมือไปด้วยกัน โชคดีมากที่ได้เจอเขา เป็นการประเดิมเรื่องแรกที่ราบรื่นและประทับใจค่ะ”

เลิฟซีนมีมากเหมือนกัน?

“ฉากเลิฟซีนอาจไม่ใช่กับเดียร์คนเดียว อย่างที่บอกว่าพระเอกเขาต้องพยายามมัดใจ 3 พี่น้อง ก็อาจมีมุ้งมิ้งแต่ละคนและแบบกันไป ก็ต้องไปดูว่าสายตาของฟิล์มจะจำแนกได้มั้ยว่าคนไหนที่รู้สึกรักจริงนะ คนนี้หลอก ๆ ก็จะมีความแพรวพราวของเขา เลิฟซีนก็เยอะอยู่ ส่วนลิมิตรเรื่องเลิฟซีนเดียร์ก็ไม่เคยพูดหรอกค่ะว่าลิมิตรเท่าไหร่ แต่เหมือนเราจะรู้กันในกองว่าเท่านี้คิดว่ามากแล้ว พอแล้ว เป็นจุดที่พอดี ไม่มีอะไรที่รู้สึกว่าเยอะเกินไป เหมาะสมกับตัวละคร”

คาดหวังอยากให้คนจดจำบทบาทการแสดงครั้งนี้ของ “เดียร์น่า” ยังไง?

“จริง ๆ ก็ไม่กล้าคาดหวังเท่าไหร่ว่าจะประสบความสำเร็จมั้ย แต่เราก็รู้สึกว่าเราก็ทำเต็มที่และคิดว่าน่าจะสนุก คนน่าจะรอคอยและอยากเห็นว่า บทก็ค่อนข้างปรับจากเดิมเยอะ มีความทันสมัยมากกขึ้น คาแรกเตอร์ของแต่ละคนค่อนข้างใหม่กับเรามาก ๆ ก็อยากให้คนเปิดใจดู บางคนอาจคิดว่าเป็นละครแรง ๆ มั้ย จะตบตีกันมั้ย แต่เดียร์รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น เราจะได้เห็นอีกมุมนึงของความรัก บางทีด่วนตัดสินใจ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราก็ไม่รู้ อาจต้องคิดนิดนึงในการเลือก  ผู้ชายเจ้าชู้ บางทีมันก็มีผลของกรรม เป็นละครที่ให้ข้อคิดหลากหลายมุม ในเรื่องของความใหม่ด้วย นักแสดงหลายคน ก็ยังไม่เคยโคจรมาเจอกัน รู้สึกเป็นเคมีที่ดีค่ะ”

รีวิวชีวิตในวงการให้ฟังหน่อย อยู่วงการมา 10 ปีแล้ว เมื่อมองย้อนไปจนถึงวันนี้ เป็นยังไงบ้าง?

“ทุกอย่างก็ไวมากเลย เดียร์รู้สึกเพิ่ง 25 แต่ตอนนี้เดียร์ 30 แล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย เดียร์โชคดีเส้นทางบันเทิงเรื่องแรกเริ่มจาก ‘สามีตีตรา’ ก็รู้สึกว่าอยู่ในเรื่องที่ดี และนำพาให้คนรู้จักเราตั้งแต่เรื่องแรกเลย ได้ฐานแฟน ๆ ตั้งแต่เรื่องแรก ก็เป็นฐานที่ดีและต่อยอดให้เราไม่หายไป จริง ๆ เดียร์รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้หวือหวามาก ไม่ได้เปรี้ยงแบบนั้น มันค่อนข้างมาเรื่อย ๆ ค่ะ ก็อยู่ในจุดที่ค่อนข้างแฮปปี้และสบายใจ เราก็แฮปปี้ในงานของเรา ที่อาจไม่ได้ถามโถมมาก แต่ก็แฮปปี้ในชีวิตอีกพาร์ทนึง คือชีวิตส่วนตัว เรามีโอกาสได้ทำอะไรใหม่ ๆ ให้ตัวเอง เป็นชีวิตที่ตัวเองบาลานซ์ได้ดีค่ะ ”

ตอนนี้เป็นนักแสดงอิสระมา 2 ปีแล้ว เป็นยังไงบ้าง มีวิธีเลือกรับงานยังไง?

“ตอนแรกก็รู้สึกโหวง ๆ นะ เพราะด้วยความที่เราอยู่แบบมีสังกัดมาตลอด แต่พอออกมาก็มีคิดว่าเราจะไปทางไหนดี ก็ถือว่าโชคดีมากที่ช่องวันให้โอกาสกับละคร ‘วิมานสีทอง’  รู้สึกดีจังเลย ที่เราออกมาก็ยังมีผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสอยู่ คือมันไม่มีใครรู้ว่าพอออกมาจะมีละครในแง่ไหน มันเหมือนเป็นความเสี่ยงนิด ๆ เหมือนกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายเราดีค่ะ เราก็โตแล้ว ลองอะไรใหม่ ๆ ดู มันก็ไม่เสียหาย มันก็ดีค่ะ จะได้เหมือนมีพลัง ลุกขึ้นมาทำอะไรอีกครั้งและก็อยากทำให้ดีด้วย ยิ่งออกมาก็ยิ่งต้องตั้งใจ ในสิ่งที่เรามีก็ต้องเอาออกมาให้ทุกคนได้เห็น ส่วนเรื่องการเลือกบท ก็เหมือนโตแล้ว ก็จะพูดตรง ๆ ว่าบทอะไรที่เรารู้สึกแตะไม่ถึง เช่น บทบู๊ทั้งเรื่อง คือหน่วยก้านเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กบอบบาง เราจะพยายามแข็งแรงแค่ไหน มันก็จะฝืนอยู่ดี คนดูจะรู้สึกไปสู้กับใครได้ บางอันที่รู้สึกแตะบทยาก ก็จะบอกว่าเดียร์ขออนุญาตจริง ๆ เรากลัวทำได้ไม่สมจริง เราจะรู้ตัวเองว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ ก็จะเลือกที่เราจับได้ถึงในเรื่องของคาแรกเตอร์หลัก ๆ ละครผีก็ไม่ติด ไม่กลัวผี เงื่อนไขน้อยมาก ๆ อยู่ในเรื่องของบทด้วยว่าเราสบายใจมั้ยที่ต้องเล่นบทแบบนี้ ส่วนเรื่องนางร้าย เดียร์ยังไม่เคนเล่นบทร้ายมาก ๆ เลย ก็น่าสนใจค่ะ อยู่ที่บทว่ามีอะไรให้เล่น ว่าร้ายยังไง มีเหตุผลมั้ย หรือว่าร้ายเป็นบ้าไปเลย มันไม่มีเหตุผลในการร้าย เดียร์ชอบแบบร้ายมีชั้นเชิง สมเหตุผล ฉลาด ไม่ได้ยึดติดว่าเป็นนางเอกเท่านั้น เรื่องก่อนหน้าที่จะเป็นอิสระ (ลายกินรี) ก็ไม่ได้เป็นนางเอก แต่เป็นบทที่ดี ที่เป็นไคลแม็กซ์ของเรื่อง ใครเป็นคนฆ่า แล้วเป็นเรา เดียร์รู้สึกท้าทาย ต่อให้เปิดมาเป็นผู้ร้ายก็ยินดี มันท้าทายดี มีเหตุผลค่ะ”

มุมมองต่อการแข่งขันในวงการเป็นยังไง?

“การแข่งขันในวงการก็เยอะจริง ๆ แต่เดียร์ไม่ค่อยซีเรียส เพราะเราก็แข่งกับตัวเองเป็นหลัก อะไรที่เป็นของเรา มันจะเป็นของเรา แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่ต้องเสียใจ มันอาจไม่ใช่ของเราในวันนี้ แต่ในอนาคตก็อาจมีโปรเจกท์ที่ดี ที่ตกมาถึงเรา หรือเป็นของเราจริง ๆ ก็ได้ เลยไม่ค่อยเครียด ไม่ได้นั่งน้อยใจอะไรแล้ว แค่รู้สึกว่ามันเป็นจังหวะของชีวิต บางอันเราก็เคยได้ผลงานที่ดีมาแล้ว และเราก็แฮปปี้ตรงนั้น มันก็เหมือนเป็นโชคชะตาของเราด้วยค่ะ ก็แฮปปี้ในสิ่งที่ทำ และสิ่งที่เราได้รับมาตอนนี้ก็ทำให้ดีที่สุดดีกว่า”

เคยมีโมเมนต์ที่ท้อ  และคิดว่าวงการนี้ไม่เหมาะกับเรามั้ย แล้วผ่านมาได้ยังไง?

“มีเยอะค่ะ บางทีเราเล่นละครแล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมือนที่เราคิด เดียร์เชื่อว่าทุกคนเคยเป็นว่าฉากนี้เราเล่นไม่ดีเลย เราน่าจะเล่นได้ดีกว่านี้ เหมือนที่บ้านเรามีภาพไว้ แต่พอจริง ๆ แล้วทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ด้วยองค์ประกอบ การแข่งขันกับเวลา มันก็มีนอยด์ว่าเดียร์รู้สึกว่าเล่นไม่ได้ ทำให้ทุกคนรอ มันก็ท้อ มันก็น้อยใจ ตอนนั้นอยู่ในช่วงของมหาวิทยาลัยด้วย พอเราเรียนและทำงานด้วย ทุกอย่างมันก็หนัก เลยเครียด ร้องไห้ก็มี พอมองย้อนกลับ ก็รู้สึกว่าก็เด็กมาก แต่ก็ผ่านมาได้แล้ว ซึ่งที่เราผ่านมาได้ ก็เพื่อนด้วย ที่บอกเราก็เก่งมากแล้ว เดียร์ทำไม่ได้แย่ อยู่ในเกณฑ์ที่โอเคแล้ว ไม่มีใครว่า ทำไมต้องมานั่งคิดมากขนาดนั้นเราก็อยากทำให้ดีที่สุด ทำให้ทุกคนประทับใจ เราเลยอยู่บนความคาดหวังและกดดันตัวเอง แต่พอมาย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่าเราทำเต็มที่แล้ว ก็ต้องเข้าใจและปล่อยไป ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้ ก็ตั้งใจสิ่งใหม่ ๆ ให้มันดีขึ้นดีกว่า หลัง ๆ มาอะไรที่เป็นดราม่า เดียร์เลยไม่ค่อยเครียดแล้ว เพราะเดียร์รู้จักตัวเองแล้วว่า ถ้าเครียดเดียร์จะทำได้ไม่ดีค่ะ ถ้าเราไม่คาดหวัง สมองโล่ง ๆ ค่อย ๆ เล่นทีละบีท มันจะขึ้นได้ถึงจุดพีค เราเหมาะกับวิธีนี้ค่ะ เอาง่าย  ๆ เลย มันคือประสบการณ์จริง ๆ รวมทั้งการเรียนรู้และปรับตัวค่ะ”

มา ณ วันนี้รับมือกับดราม่าและเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ยังไง?

“เรื่องดราม่าเดียร์โดนตั้งแต่ตอนเข้าวงการเลย ตั้งแต่ยังไม่เล่นละครด้วยซ้ำ เดียร์ถ่ายโฆษณาชิ้นแรกก็โดนแล้ว โดนดราม่า แค่เดียร์โฆษณาคู่กับพี่ณเดชน์ (แบร์รี – ณเดชน์ คูกิมิยะ) (หัวเราะ) ช่วงนั้นพี่แบร์ และพี่ญ่า (อุรัสยา เสปอร์บันด์) ก็เป็นคู่จิ้น กำลังมาแรงมาก ๆ พี่แบร์เป็นพรีเซ็นเตอร์โลชั่น แล้วเดียร์แค่เป็นเด็กสาวที่นั่งกินข้าวในฉากและทาครีม แค่นั้นแหละ ก็พูดยาก เราก็โดนดราม่า เราก็งงว่าทำไมถึงโดนดราม่า ทำอะไรผิด (ยิ้ม) ตอนนั้นรับมือไม่เป็นก็ร้องไห้ เลิกเล่นไอจีไปเดือนนึง ตอนนั้นเสียงวิจารณ์มีผลต่อใจเรา เพราะเราเป็นเด็กคนนึงที่ไม่ได้ตั้งรับหรือมีภูมิคุ้มกันมา เราไม่ได้เสพโซเชียลแล้วมีคนมาว่าเราตรง ๆ ในพื้นที่ของเรา เราก็รู้สึกว่าทำไมต้องด่าเราขนาดนี้ เราก็เสียใจ เราไม่ได้อะไร ก็เอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น หยุดการเล่นไอจีไปก่อน ไม่เข้าเสพเลย 1 เดือน กลับมาก็ปกติ ทุกคนก็ลืมไปแล้วในสิ่งที่มาว่าเรา ผู้ใหญ่ก็มาสอนว่าไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป นี่แค่เริ่มต้นนะ เราต้องเข้าใจว่ามีที่ชอบและไม่ชอบอยู่แล้ว ก็ต้องตั้งรับให้ได้ ต้องเข้มแข็ง หลัง ๆ มาเดียร์ก็มีดราม่า แต่ก็ผ่านมาได้ เดียร์ทำความเข้าใจแล้วว่าตอนที่เกิดดราม่า เดียร์จะแคร์แค่คนรอบตัวและคนที่เกี่ยวข้องกับข่าว ๆ นั้น ถ้าคนที่เป็นข่าวตรงนั้นและเกี่ยวข้องกับเดียร์ อธิบายแล้วเขาเข้าใจ เดียร์ก็รู้สึกขอบคุณ ไม่เครียดแล้ว ใครจะด่า ด่าไปเลย แต่แค่คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจ คือเดียร์จบแล้ว เราแคร์คนที่รักเราจริง ๆ ดีกว่า เพราะรู้สึกว่าคนที่มาด่าเรา บางทีเขาไม่รู้จักเราด้วยซ้ำ เขาเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ได้ซัพพอร์ทผลงานเราด้วยประเด็น เราไม่ให้ค่าดีกว่า ทุกวันนี้มีใครมาเขียนว่า เดียร์อ่านแล้วยิ้ม ว่าเขาก็ว่างเหมือนกันนะเนี่ย (ยิ้ม) นั่งพิมพ์เป็นหน้ากระดาษเลย ทำงานอะไร เราก็มองเป็นขำกับเพื่อนไป และเดียร์จะไม่บล็อก ต่อให้เราบล็อกเขา เดี๋ยวเขาก็เปิดอันใหม่มาด่าเราอยู่ดี เขายิ่งดีใจเลยที่เราอ่านข้อความเขาแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึกว่าเห็นรึเปล่า เพราะบางคนตั้งใจด่าเรา เพื่ออยากให้เราเห็น ถ้าเรารับรีแอคเขาปุ๊บ เขารู้สึกว่าเห็นแล้ว เดี๋ยวเอาอันใหม่มาว่าต่อ เดียร์เลยไม่ให้ค่า ไม่บล็อก อยากเมนต์อะไรเมนต์ เดี๋ยวเหนื่อยไปเอง ทุกวันนี้หมดแล้ว ไม่ต้องสนใจเลย ปล่อยเป็นอากาศ อย่าไปให้ค่า เดียร์สอนทุกคนที่ดราม่าแล้วเศร้า ๆ ก็บอกว่าหยุดอ่านคอมเมนต์ เขาเป็นใครไม่รู้ สุดท้ายทุกคนก็ผ่านมาได้จริง ๆ ตอนนี้ก็ด่ามาเลย มันเข้าใจโลกแล้ว่ามีคนแบบนี้จริง ๆ ค่ะ เป็นประสบการณ์ ถ้าเราไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้ ดีแล้วที่เราเจอดราม่า เพราะว่าเราจะได้มีเกราะป้องกัน รับแรงกระแทกในวันที่เราต้องเจอเรื่องที่หนักกว่านี้ เพราะถ้าเราไม่เจอะไรเลย ราบรื่นมากแล้ววันนึงเราเจอ เราก็ล้มอยู่นะคะ เดียร์เลยคิดว่าทุกอย่างก็มีเหตุผล เป็นเหมือนบททดสอบที่เข้ามาสอนเราค่ะ”

อยากประสบความสำเร็จในวงการยังไง?

 “มันก็เหมือนละคร ก็เป็นจังหวะของละคร บางเรื่องเรารู้สึกว่าจะดีมาก ๆ บางทีก็อาจไม่เป็นแบบที่เราหวัง ก็เป็นเรื่องของจังหวะชีวิตและไทมิ่งแหละ บางทีอาจต้องรอบทที่มันใช่เรา และเราก็เปล่งประกายในวันนั้น แค่มันอาจไม่ใช่ของเรา ณ ตอนนี้ เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เดียร์ไม่ได้กดดันหรือคาดหวัง รู้สึกว่า ณ ตอนนี้ที่เดียร์ทำอยู่ เดียร์รู้สึกว่าโชคดีมากแล้ว ที่มีโอกาสทำงานตรงนี้ เพราะมีหลายคนมากที่อยากมาอยู่ในวงการ เล่นละครแบบเรา แต่บางทีเขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้ แต่เรามีงานเข้ามาตลอด ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เดียร์ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว มากน้อยแค่ไหนเดียร์ไม่ได้ตัดสินหรือคาดหวัง ทุกวันนี้คนรู้จักเดียร์แล้ว ไปไหนคนจำได้ เข้ามาขอถ่ายรูป เดียร์ก็ค่อนข้างอะพรีชีเอท (Appreciate) และรู้สึกว่าแฮปปี้กับจุดนี้ที่อยู่ หลังจากนี้จะมีชื่อเสียงมากขึ้นกว่านี้ ก็เป็นเรื่องอนาคต เป็นสิ่งที่ดีก็ขอรับไว้ แต่ ณ วันนี้เดียร์ไม่ได้น้อยใจกับสิงที่อยู่เลย แฮปปี้มากและพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ได้คาดหวังเรื่องรางวัล เดียร์ว่าทำเต็มที่กับเรื่องนี้แล้วและแฮปปี้ ผู้กำกับ คนในกองแฮปปี้ เราทำงานเป็นทีมเวิร์ค มันเป็นอะไรที่มีค่าเป็นคามทรงจำที่ดีมาก เราทำงานแล้วมีความสุข อันนี้ดีที่สุด เดียร์ไม่อยากทำงานแล้วทุกข์ใจ กลับบ้านแล้วท้อ แต่อยากทำงานแบบกลับมาบ้านมา เหนื่อยจริงแต่แฮปปี้ พรุ่งนี้อยากไปทำงานต่อ อยากเฮลตี้ด้วย ใช้ความสุขในการขับเคลื่อนการทำงาน ทำงานแต่พอดี และต้องมีความสุขในชีวิตด้วยค่ะ”

สิ่งหนึ่งที่คนให้ความสนใจ คือความสนิทกับ “ลิซ่า BLACKPINK” หลายคนอาจยังไม่รู้จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ ไปรู้จักกันได้ยังไง?

“จริง ๆ เพราะว่าครูก้อย (สุภาพรรณ ผลากรกุล) ที่สอนร้องเพลง เหมือนนักแสดงทุกคนก็จะรู้จักครูก้อย เพราะต้องไปเรียนร้องเพลงเผื่ออีเว้นท์ และเป็นไทมิ่งตอนนั้นที่น้องคุยกับครูก้อยพอดี เพราะครูก้อยก็สอนน้องมาก่อน เป็นช่วงที่น้องจะกลับไทยและครูก้อยก็บอกน้องว่าสอนคนนี้อยู่ เขาก็บอกว่าเขาดูละครเราเรื่อง ‘ตามรักคืนใจ’ ที่เล่นกับพี่อู๋ (ธนากร โปษยานนท์) รับบทเป็น ‘น้าราม’ น้องก็อัดคลิปมาให้เรา เรียก ‘น้าราม ๆ ดูเรื่องนี้อยู่ ชอบมาก สวัสดีค่ะพี่เดียร์’ เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้เห็นกันว่าเด็กคนนี้กำลังจะเดบิวท์ที่เกาหลีเหรอ วง BLACKPINK ตอนนั้นเดียร์ยังไม่รู้อะไรเลย ยังไม่รู้ว่า BLACKPINK คืออะไรด้วยซ้ำ แต่รู้ว่าน้องคนนี้กำลังมีผลงานกับทางเกาหลี และวันนึงที่เขากำลังมาไทย ครูก้อยก็นัดเจอกันมั้ย เราก็ไปเจอกัน เลยเหมือนเป็นไทมิ่งที่เรารู้จักกันก่อนที่เขาจะเปรี้ยงปร้าง เหมือนเป็นความโชคดีที่เรารู้จักกันไว มันเกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เขาก็รู้สึกสบายใจที่จะคุยกับเรา เราก็แฮปปี้ที่จะไปกินข้าวด้วยกัน เขาก็เป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ รู้สึกว่าวันแรกที่เดียร์เห็นเขา วันนี้เขาเหมือนเดิมเลย เป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักมาเรื่อย ๆ เขากลับไทยก็จะนึกถึงเรา กินข้าวกัน อย่างคอนเสิร์ต เราก็เอาดอกไม้ไปแสดงความยินดีกับเขา เลยเหมือนเป็นมิตรภาพที่ดีต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ด้วยความที่เขาทำงานตั้งแต่เป็นเด็ก เขาก็ไม่มีเพื่อนเยอะ เขาจะมีเพื่อนในวัยเด็กของเขา มีเดียร์ที่อยู่ในวงการและบางทีข้อดีคือเราให้คำปรึกษากันได้ เรื่องในวงการก็จะเห็น ๆ กันอยู่ คิดว่ายังไง ควรจะยังไงดี และให้คำปรึกษากันเรื่องงานในบางพาร์ท”

ด้วยความที่ “ลิซ่า” เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เวลาไปเที่ยวกัน มีอะไรต้องระวังมั้ย?

“จริง ๆ ตอนแรกคิดว่าต้องระวังกันมากเลย แต่ปรากฏว่าน้องเขาชิลมากกว่าที่พวกเราคิดไว้ เดียร์คิดว่าเขาคงจะอยากมีชีวิตที่เป็นเหมือนพวกเรา แบบอยากไปเดินตลาด ทำอะไรเหมือนคนปกติบ้าง เพราะเขาไม่ได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กเลย เหมือนทำงานแล้วก็ประสบความสำเร็จไปเลย เดียร์รู้สึกว่าเขาแฮปปี้นะ ตอนที่เราไปเที่ยวเวียดนามกัน เพราะไม่ได้มีการ์ดไปด้วยแล้วไปกับแค่เพื่อนผู้หญิงหมดเลย 5 คน แล้วเขาบอกว่าไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบนี้เลย เกิดมาก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลย แบบที่ไปเดินช็อปปิ้งกับเพื่อนจริง ๆ เดียร์เลยเห็นแล้วเอ็นดู คนเราได้อย่างก็เสียอย่าง บางทีเขาประสบความสำเร็จมากก็จริง แต่เขาอาจจะแบบเสียความเป็นส่วนตัวองเขาไป ไม่มีโมเมนต์ช่วงวัยเด็กที่จะไปเที่ยวกับเพื่อน ทุกครั้งที่เขากลับมาไทย เราก็อยากจะจัดทริปให้เขา มีโอกาสพาไปในที่ที่โอกาสแล้วเราไปกัน อยากให้เขาได้เที่ยวกับเพื่อน ๆ อยู่แล้วสบายใจ ไม่ต้องระวังค่ะ เดียร์ก็อยากบอกแฟน ๆ ว่า ถ้าเห็นน้อง ก็อยากให้ความเป็นส่วนตัวเขา เพราะเวลาที่ใครแอบถ่ายหรือไปโพสต์แบบเรียลไทม์ ทุกคนก็จะมาตรงนั้นหมด และจะทำให้น้องไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในแบบคนทั่วไปเลย ถ้ารักเขาก็อยากให้เว้นระยะ อยากจะลงก็ให้ลงตอนที่ผ่านไปสัก 3 ชั่วโมง เพราะเวลาไปไหนแล้วคนลงเรียลไทม์ เราซื้ออกมาแล้วคนเต็มเลย บางทีก็สงสารเขาเพราะเขาไม่มีโอกาสได้แบบเดินง่าย ๆ แบบพวกเรา แต่แฟนคลับที่เข้าใจคือเยอะมาก เรารู้ว่าคนนี้เขาถ่ายไปแต่ไม่ลง แล้วค่อยอีก 3 ชั่วโมงจึงลง อันนี้ก็น่ารักมาก เขารู้ว่าจะไม่ลงตรงนั้น ซึ่งอันนี้น้องอะพรีชีเอทมาก เขารู้ว่าถ้าลงตรงนั้น ทุกคนก็จะมากรูกันหมด จริง ๆ เดียร์ว่าบลิ๊งค์ (ชื่อแฟนคลับ) น่ารัก เข้าใจมาก ๆ อาจจะแค่บางคนบางพาร์ทจริง ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าการที่เขาลงเรียลไทม์จะเกิดอะไรขึ้น อันนี้ก็เข้าใจเขาเหมือนกัน”

ซึ่งการที่แฟน ๆ ไม่โพสต์รูปแบบเรียลไทม์ ก็ทำให้ “ลิซ่า” ซาบซึ้งใจมาก?

“ใช่ค่ะ น้องซึ้งใจมาก ค่ายอาจไม่ได้อยากให้ถ่ายรูป แต่เวลาที่คนเดินมาแบบไม่ได้ถ่ายรูปเขา บอกว่าชอบลิซ่ามาก ๆ เขาดีใจมาก เขาบอกว่าอันนี้เขาชอบมากเลย ไม่แอบถ่าย แค่บอกว่าชอบเขามาก และให้เขาเซ็นลายเซ็น บางทีเขาเซ็นให้เลยนะคะ  เพราะรู้สึกว่าคนนี้มาเพราะรักเขาจริง ๆ และเข้าใจ ไม่เรียกร้อง ไม่แอบถ่าย ไม่อะไรเลย เขาเซ็นให้ตรงนั้น  เดียร์ยังคิดว่าคนนี้โชคดีมาก บางคนบอกว่า ‘รักนะ ลิซ่า’ เขาก็จะตอบ ‘ขอบคุณค่า’ แต่เมื่อไหร่ถ้ามีกล้องปุ๊บ เขาก็จะไม่คุยเลย เพราะมันเป็นกฎ ไม่อยากให้มีรูปหลุดว่าไปนั่นนี่ เดียร์ถึงบอกว่าถ้าอยากให้เขาคุย เซย์เยส หรือมีรีแอค ก็ไม่ต้องถ่าย แค่ทักเขา อันนั้นเขาก็บอกเองว่าเขาแฮปปี้มากค่ะ”

ในฐานะพี่สาวเขา เหมือนเราอยู่ทางนี้ มีอะไรเกี่ยวกับน้อง ไม่ว่าจะเรื่องความรักหรืออะไร ต้องคอยตอบคำถามให้ รู้สึกอึดอัดมั้ย?

 “น้องก็บอกอยู่ว่าหนูสงสารพี่เดียร์มากเลย ต้องมานั่งตอบอะไรแทนหนู แต่เดียร์ก็บอกว่า ‘พี่ก็เข้าใจ ที่เขามาถามพี่ เพราะว่าเขาคงไม่ได้ถามน้องได้โดยตรง’ เดียร์ก็ตอบเท่าที่เดียร์ตอบได้ บางเรื่องเดียร์ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตอบยังไงค่ะถามว่าอึดอัดมั้ย มันก็มีบางเรื่องที่เขามาถามแล้วเราไม่รู้จริง ๆ ไม่รู้จะตอบยังไงมันก็มีอึดอัดนะคะ แต่เราก็พยายามที่จะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เดียร์ก็รู้ว่าทุกคนก็ไม่รู้จะถามใครจริง ๆ เดียร์ก็พยายามตอบให้ดีที่สุดแล้ว และไม่ให้กระทบทุกฝ่าย อยากให้แฮปปี้กันทุกคน”

แต่ “ลิซ่า” ไม่เคยมาบอกว่าเราห้ามพูดหรือบอกเรื่องอะไรใช่มั้ย?

“เขาไม่เคยพูดเลยค่ะ เขาน่ารักมาก เหมือนทุกครั้งที่คนสัมภาษณ์เรื่องเขา ก็จะส่งไปให้เขาบอกว่าวันนี้มีคนมาถามอีกแล้ว ลองดูว่ายังไง น้องก็บอกว่า ‘หนูไม่ห่วงเลยค่ะ หนูรู้ว่าพี่เดียร์ตอบดีอยู่แล้ว’ เขาพูดแบบนี้ก็กดดันกว่าเดิม (หัวเราะ) เขาไม่เคยพูดบอกเดียร์เลย เขาแค่บอกว่าหนูสงสารพี่เดียร์มากเลย ที่ต้องมาตอบอะไรแบบนี้ แต่บางครั้งก็มีบางงานที่เดียร์บอกว่าเหมือนเราเพิ่งถามเรื่องนี้ไป ก็บอกว่าอย่าสัมภาษณ์เรื่องเลย ลำบากใจ มันก็มีกระแสโจมตีด้วยแหละ บางคนก็มองว่าเราไปเกาะน้อง มาเอากระแส ซึ่งจริง ๆ เดียร์ก็ไม่อยากให้คนสัมภาษณ์เรื่องน้องกับเดียร์เลยนะ เพราะไม่ใช่เรื่องเดียร์ด้วย ไปตอบแทนเขา แต่ก็อย่างที่บอกว่าเดียร์ไม่ตอบทำร้ายใคร ก็มีหลายกระแสว่าเดียร์ตอบน่ารัก ตอบดีมาก แต่บางคนก็รู้สึกว่าเหมือนได้กระแสจากเรื่องนี้ แต่ส่วนใหญ่จะด่านักข่าวมากกว่า ว่าไปถามทำไม ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่เอาจริง ๆ เดียร์ไม่ได้ซีเรียสเลย ก็ทำให้ดีที่สุดกับทุกฝ่าย แต่จะไม่ถามเดียร์ก็ไม่ติดอะไร เรารู้นะว่าเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้ ก็ถามได้ แต่เดียร์รู้สึกว่าหลัง ๆ นักข่าวเขาเกรงใจนะ ก็เข้าใจ ไม่อยากถามน้องเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของเขา เดียร์รู้สึกเลย รับรู้ได้ มีคนนึงหลุดถามมา เขาก็สะกิดกันแล้วว่า ‘พอแล้ว ๆ’ เดียร์รู้สึกว่าเขาน่ารักและเข้าใจว่าขอบเขตคืออะไรค่ะ  ”

ตั้งแต่รู้จักกันมา ประทับใจอะไรในตัว “ลิซ่า” มากที่สุด?

“ประทับใจตรงที่ว่าเขานึกถึงคนอื่น เขาจะถามตลอดว่าทุกคนอยากทำอะไร อยากกินอะไร ไม่เคยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเลย เป็นฝ่ายซัพพอร์ทและเป็นคนที่เข้าใจเพื่อน ๆ เดียร์ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเขาเป็นซุป’ตาร์ หรือเป็นดาราระดับโลก แต่เหมือนเขาเป็นน้องเล็กของเรา เราอยากดูแลเขา อยากให้เขามีความสุข ประทับใจตรงความมีน้ำใจของเขา และความที่เขานึกถึงคนอื่น ที่มีมาตลอดเลย จริง ๆ เขาไม่ต้องทำอะไรตรงนี้ให้เดียร์ก็ได้ แต่เขาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเดียร์ตลอดเลย อย่างล่าสุดที่ฝรั่งเศส เดียร์ไปถึงเขาก็อยู่ก่อนเดียร์แล้ว เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะมารับ มีการ์ดมารับได้ เดียรก็บอกว่าจริง ๆ ไม่เป็นไรเลย เดียร์จองรถได้นะ แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร พี่เดียร์มาคนเดียว เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวเอง จะปล่อยให้เดินทางคนเดียวได้ยังไง เราฟังแล้วรู้สึกประทับใจ เขาไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ให้เดียร์ก็ได้  เขาน่ารัก ยื่นน้ำใจมากให้เรา เลยเป็นสิ่งที่เราอะพรีชีเอทมาก ที่เขาดูแลเราดีมาก เขาบอกว่าตอนอยู่ไทย พี่เดียร์ก็ดูแลเขาดี  พอมาต่างถิ่นเขามีโอกาสจะดูแลบ้าง เขาก็อยากทำค่ะ”

อัพเดทเรื่องหัวใจของ “เดียร์น่า” บ้าง มา ณ วันนี้ เป็นยังไงบ้าง?

“จริง ๆ ความรักอยู่ในความราบรื่น เรียบง่าย ไม่ได้หวือหวา เราคบมา 3 ปีกว่า ซึ่งเรายังคงต้องปรับตัวกันตลอดนะคะ แต่ถือว่าเข้าใจกันมากขึ้น ค่อนข้างนิ่งแล้วค่ะ ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะกัน เพราะรู้ว่าจะเป็นเรื่องเดิม ๆ เล็กน้อย แต่ไม่มีปัญหาที่ใหญ่ เพราะเราจะรู้แนวกันแล้ว”

จะมีโอกาสได้เห็นหน้าเขามั้ย?

“ก็ยังไม่รู้เลยค่ะ (ยิ้ม) รออีกนิดนึง คือเดียร์ก็ไม่ชินด้วย ไม่เคยเปิดเรื่องความรักเลย เพิ่งมีคนนี้ที่เราได้คบกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ในตอนที่เราโต อายุเราก็สมควรแล้ว แต่แค่เหมือนเขาเป็นคนไม่เล่นโซเชียลด้วย เลยไม่ค่อยมีรูปหลุด (ยิ้ม) ตัวเขาเองก็ไม่เสพสื่อ เลยคิดว่าเขาก็ค่อนข้างมีความไพรเวท เพราะฉะนั้นเดียร์ก็ไม่ลงดีกว่า เดียร์ก็รู้สึกว่าคนนอกวงการ เขาไม่ได้มีแรงตั้งรับแบบพวกเรา ในการโดนวิพากษ์วิจารณ์ สมมุติว่าเดียร์ลงรูปกับแฟน มันก็จะมีคนมาเวลคัม แต่จะมีคนที่เขาอาจไม่ชอบ แสดงความคิดเห็นที่ไม่น่ารัก เดียร์รู้สึกว่าเขาไม่สมควรต้องมาเจออะไรแบบนี้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในวงการ ก็ไม่สมควรต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ เดียร์รู้สึกว่า มันไม่จำเป็นต้องลงดีกว่า เขาแฮปปี้กันแล้ว เราถ่ายรูปไว้ดูเอง หรือลงในเฟสบุคส่วนตัว ไม่ต้องอวดใคร ก็รอแบบให้เป็นฝั่งเป็นฝาก่อน ถึงวันนั้นเดียร์ค่อยอัพดีกว่า”

แปลว่าเราต้องรอถึงแต่งงานเลย ถึงได้เห็นหน้าเขา?

“ไม่รู้ (หัวเราะ) เดียร์แค่พูดในมุมนั้น เดียร์ก็ไม่อยากให้คนมาสนใจเดียร์ในเรื่องของความรักเท่าไหร่ เพราะไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่แก่นสารสำคัญในชีวิตของเรา”

เล่าให้ฟังได้มั้ยว่าอะไรทำให้เราประทับใจเขา จนยอมเปิดใจให้เขามาเป็นแฟนเรา?

“ดอนแรกไม่ได้รู้สึกชอบกันเลย (หัวเราะ) แต่ได้เจอครั้งที่สองและสาม ก็รู้สึกว่าเหมือนได้เห็นความน่ารักของเขามากขึ้น ที่ประทับใจเลยก็คือเหมือนดูเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นและรับฟัง ความคิดเห็นคนอื่น เป็นคนที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นคนดีแล้วพอเราเห็นหน้าเขาและรู้สึกว่าเขาเย็น วันไหนที่เรามีเรื่องอะไรมาเล่าหรือปรึกษา เขาดูแบบเป็นคนใจเย็น ให้คำปรึกษาที่ดี ดูเป็นคนใจเย็น ให้คำปรึกษาที่ดี ดูมีความคิด และเห็นหน้าเขาแล้วเรามีความสุข เวลาที่เขายิ้ม ชอบคนที่ยิ้มแล้วดูจริงใจและให้พลังบวกกับเรา อยู่กับคนที่ไม่ทำให้เราเครียด ก็เป็นแบบนั้นไป สบายใจ”

มองอนาคตเรื่องแต่งงานยังไง?

 “คำถามนี้เยอะมาก ไปงานแต่งใครก็จะแบบเมื่อไหร่ ๆ เดียร์บอกว่ายังไม่ได้คิดเลย รู้สึกว่าแบบเพิ่ง 25 เอง แต่อายุมันเพิ่มขึ้นไวไปหน่อย เหมือนกับเดียร์ก็รู้สึกว่าเราก็ทำวันนี้ให้ดีก่อน เราคบและดูแลกันให้ดีที่สุดไปก่อนแล้วถ้ามันใช่ เดี๋ยววันนั้นก็คงมาถึงเอง แต่เดียร์ไม่รีบ ไม่เร่งรัดเลย เรายังทำงานอยู่ด้วย ยังอยากประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก่อน แข็งแรงด้วยตัวเองเยอะ ๆ ก่อน ถึงค่อยคิดอีกสเต็ปนึงค่ะ ”

ท้ายสุดนิยามความรักให้ฟังหน่อย?

“ความรักของเดียร์คือความเข้าใจค่ะ ทุกคนต่างเข้าใจกันว่าเป็นยังไง ขอบเขตเป็นยังไง และเราให้เกียรติกัน อย่างแฟนคลับของเดียร์ ไม่เคยมายุ่งเรื่องส่วนตัวเลย ไม่เคยคาดหวังอะไรในตัวเราเลย น่ารักมาก รักทุกอย่างที่เราเป็นจริง ๆ เลยรู้สึกว่าสิ่งนี้ที่ทำให้เรารักกันมาได้นานขนาดนี้ เพราะว่าเขาเข้าใจและให้เกียรติกัน อันนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ”

เรียกว่าเป็นการถอดตัวตนของ “เดียร์น่า” กันแบบ 360 องศา และเชื่อบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้แฟน ๆ ได้รู้จักและหลงรักเธอมากขึ้นแน่นอน

วันวิสาข์ ดอกเงิน : เรื่อง /  พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ