“ตอนแรกที่ถ่ายคลิปลงเพจเพื่อหารายได้ ทุกคนในหมู่บ้าน รวมถึงพ่อแม่ ต่างก็บอกว่า…เราบ้า!!! หาว่าไร้สาระ!!! เพราะไม่เชื่อว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี้หาเงินได้ จนในที่สุดก็พิสูจน์ให้คนทั้งหมู่บ้านเห็นว่า…เราทำได้ ทำให้ตอนนี้นอกจากจะไม่มีใครมาหาว่าบ้าแล้ว ยังชมว่าเราเก่ง เราฉลาด อีกด้วยค่ะ” นี่เป็นเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของ “ยูทูบเบอร์สาวกะเหรี่ยง” ที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า… “นานุช-นารีนุช พรเมธีกุล” โดยผลงานของเธอนั้น จากจุดเริ่มต้นการก้าวสู่ถนนสายนี้ของเธอโดยมีแรงบันดาลใจจากความต้องการหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว ถึงวันนี้มียอดผู้ชมและผู้ติดตามอย่างล้นหลาม ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปทำความรู้จักกับเธอคนนี้กัน…

“นานุช-นารีนุช” ยูทูบเบอร์และอินฟลูเอนเซอร์สาวกะเหรี่ยงคนดัง วัย 26 ปี บอกเล่ากับ “ทีมวิถีชีวิต” ถึงเรื่องราวของเธอก่อนที่จะเข้าสู่ถนนเส้นนี้ว่า… เธอเป็นชาวชนเผ่ากะเหรี่ยง เกิดและโตที่ หมู่บ้านฟักทอง ต.ขุนแม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน โดยหมู่บ้านของเธอตั้งอยู่ติดกับเขตรอยต่อของแม่ฮ่องสอนกับเชียงใหม่ ฝั่ง อ.แม่แจ่ม โดยเธอมีพี่น้อง 4 คน ซึ่งเธอเป็นพี่สาวคนโต ส่วนพ่อแม่มีอาชีพเกษตรกร เพาะปลูกมันเทศ กะหล่ำปลี ข้าวโพด เพื่อหารายได้ ด้านการศึกษานั้น นานุชบอกว่า เธอเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนบ้านฟักทอง โรงเรียนในหมู่บ้าน จนขึ้นชั้น ป.1 ก็ย้ายไปเรียนที่ ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เรียนจนถึง ป.4 ก็ต้องย้ายกลับมาเรียนที่โรงเรียนเก่าอีกครั้ง จนจบ ป.6 ขึ้นชั้น ม.1 ก็ต้องย้ายเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านแม่โถ อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน และพอถึงชั้น ม.4 ก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนแม่แจ่ม อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จนจบ ม.6

“ต้องย้ายที่เรียนบ่อย และต้องออกไปใช้ชีวิตนอกหมู่บ้าน นอกอำเภอ ต้องไปอยู่หอพัก ทำให้ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กขาดความอบอุ่น เพราะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ตอนขึ้น ป.4 ตัดสินใจย้ายกลับมาเรียนในหมู่บ้าน เพื่อจะได้อยู่กับพ่อแม่ แต่หลังจบ ป.6 ก็ต้องย้ายไปเรียนไกล ๆ อีก เพราะโรงเรียนที่เรียนมีแค่ชั้น ป.6 ทำให้ต้องจากบ้านไปอยู่หอพัก เพราะโรงเรียนอยู่ไกลบ้านมาก ๆ ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ทำให้ปีหนึ่งเราจะได้กลับบ้านแค่ 2 ครั้งช่วงปิดเทอม เพราะบ้านของเราอยู่บนดอย เดินทางลำบาก รถราก็ไม่ค่อยมี ถนนก็ไม่ดี ซึ่งทุกครั้งที่ได้กลับบ้านจะเป็นช่วงเวลาที่เราดีใจและมีความสุขมากที่สุด” ยูทูบเบอร์สาวกะเหรี่ยงคนดังเล่าให้ฟัง

เธอบอกอีกว่า… หลังเรียนจบชั้น ป.6 เธอไม่ได้เรียนต่อในทันที ต้องไปทำงานเป็นแม่บ้านอยู่กรุงเทพฯ แต่ทำได้ประมาณ 4-5 เดือน ก็ตัดสินใจลาออก และกลับสู่ดอย โดยเจ้าตัวเล่าว่า… จริง ๆ เธออยากเรียนต่อด้านบัญชี แต่ด้วยฐานะทางบ้านไม่ดีทำให้ไม่มีทุนเรียนต่อ จึงต้องออกมาทำงานหาเงิน เพื่อให้น้อง ๆ อีก 3 คนได้เรียน เพราะเธอเป็นพี่คนโต เธอก็เลยตัดสินใจเข้าทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในเมืองหลวง โดยได้เงินเดือน 20,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะ แต่เธอกลับคิดถึงบ้านมาก ๆ อีกอย่างคือเธอเริ่มมีอาการภูมิแพ้หนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแพ้แอร์ เนื่องจากบ้านเจ้านายที่ทำงานอยู่เลี้ยงสุนัข และเปิดแอร์ให้สุนัขที่เลี้ยงตลอดเวลาทุกวัน จนทำให้เธอตัดสินใจกลับบ้านเกิด ปรากฏหลังกลับมาอยู่บนดอยอาการภูมิแพ้ที่เคยเป็นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เธอจึงคิดเล่น ๆ แบบตลก ๆ ว่าเธออาจเป็น “โรคภูมิแพ้กรุงเทพฯ” เหมือนเพลงของศิลปินดังคนหนึ่งก็เป็นได้

สาธิตทอผ้า

“ถามว่า…ชีวิตในเมืองใหญ่ดีไหม ก็สะดวกสบายดี อยากกินอะไรก็แค่เข้าร้านสะดวกซื้อ หรือสั่งมาส่งถึงที่ ส่วนบนดอยถ้าอยากกินก็ต้องเข้าป่าไปหาเอาเอง แต่พออยู่ในเมืองนาน ๆ ไปความสุขที่เคยมีแรก ๆ ก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนเริ่มคิดว่า…ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา จึงตัดสินใจมุ่งหน้ากลับบ้านดอยดีกว่า” นานุชกล่าว

พาไปดำนา

และการกลับสู่บ้านของเธอหนนี้ก็กลายเป็น “จุดเริ่มต้นอาชีพยูทูบเบอร์” ของเธอ โดยนานุชบอกว่า หลังกลับมาอยู่บ้าน เธอก็สร้างเพจของตัวเองขึ้นมา และทำคลิปวิดีโอลงเพจ เพื่อที่จะหารายได้ สลับกับการออกไปช่วยงานที่บ้าน ทำไร่ทำสวน ซึ่งเธอมองว่า…มีอาชีพเดียวไม่พอกิน ส่วนใหญ่คนบนดอยจะทำอาชีพเกษตรกรอย่างเดียว ไม่ค่อยทำอาชีพอื่น ทำให้ไม่ได้มีรายได้เข้ามาทุกเดือน โดยจะมีรายได้ก็ต่อเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไปขาย ซึ่งก็จะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะมีเงิน ซ้ำร้ายบางครั้งผลผลิตราคาตกต่ำ ทำให้รายได้จากการเพาะปลูกบางรอบก็อาจจะลดลง หรือหนักถึงขั้นขาดทุน และเป็นหนี้สิน ทำให้เธอมีความคิดที่จะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากการทำเกษตร ซึ่งมีเพื่อน ๆ แนะนำให้เธอลองถ่ายคลิปและอัปโหลดลงเพจดู เผื่อจะเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับเธอได้ โดยเธอบอกว่า ตอนแรก ๆ ก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ยังไม่คิดจะทำ เพราะจริง ๆ เธอเป็นคนขี้อายมาก ๆ แค่ถ่ายรูปยังไม่ค่อยชอบถ่ายเลย แต่พอโดนเพื่อน ๆ ยุหนักเข้าว่าให้ลองทำดู เธอจึงตัดสินใจที่จะลองดู

“อย่างแรกที่ทำให้เลือกที่จะลุย ประการที่หนึ่ง เราอยากมีรายได้เสริมมาช่วยจุนเจือพ่อแม่ และอีกประการคือ เราอยากถ่ายทอดวิถีชีวิตคนบนดอยให้คนในเมืองได้เห็นว่า…พวกเราชาวกะเหรี่ยงใช้ชีวิตยังไง อยู่กันยังไง” ยูทูบเบอร์สาวกะเหรี่ยงคนดังบอกเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ก่อนที่จะเล่าให้เราฟังต่อไปว่า ตอนที่เธอเริ่มทำคลิปช่วงแรก ๆ นั้น ไม่เฉพาะแค่คนในหมู่บ้าน แต่เรียกว่าคนทั้งดอยเลยก็ได้ ต่างหาว่าเธอเพี้ยน…เธอบ้า… แม้แต่พ่อแม่ของเธอเองก็ยังมองเป็นเรื่องพิลึก แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เธอจึงทำไปเรื่อย ๆ โดยเธอทำเองทุกขั้นตอนคนเดียวทั้งหมด ทั้งถ่าย ทั้งตัดต่อ โดยมีอุปกรณ์คือ โทรศัพท์มือถือคู่กายเธอเพียงเครื่องเดียว ซึ่งเมื่อถ่ายและตัดต่อเสร็จก็นำไปอัปโหลดลงเฟซบุ๊ก

ชวนไปหาปลา

“ช่วงแรก ๆ เขินมาก เวลาพูดก็ยังติด ๆ ขัด ๆ และคลิปแรก ๆ นี่ตอนที่ถ่ายนั้นเรารู้สึกอายพ่อมาก จนต้องแอบ ๆ ทำ เรียกว่า…ถ้าพ่ออยู่บ้านจะไม่ทำคลิปเลย หรือบางทีถ่าย ๆ อยู่ พอได้ยินเสียงพ่อเท่านั้นแหละ รีบวิ่งหนีขึ้นบ้านเลย พอพ่อไม่อยู่เราก็จึงจะมาถ่ายคลิป แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เขินแล้ว เรียกว่า…อาชีพนี้เปลี่ยนเราจากเด็กขี้อายกลายเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขึ้น ซึ่งคลิปส่วนใหญ่จะไม่มีคอนเทนต์ จะเป็นการถ่ายจากชีวิตจริงของตัวเราเองเป็นหลัก เช่น ไปเก็บข้าวโพด ไปปลูกหอม หาปลา หรือหาของกินในป่า ซึ่งทั้งหมดคือวิถีชีวิตของคนดอย”

เธอเล่าต่อไปว่า… ช่วงที่ทำคลิปลงเพจแรก ๆ รู้สึกกดดันและเครียดมาก เพราะเริ่มต้นจากศูนย์ โดยช่วงแรกที่ลงคลิปไปนั้น ไม่มีคนเข้ามาติดตามเลยสักคนเดียว ทำให้รู้สึกท้อแท้มาก ๆ จนถึงขั้นต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวไม่ให้คนอื่นเห็น แถมไม่กล้าบอกใคร แม้แต่พ่อกับแม่ เพราะกลัวจะถูกซ้ำเติม จนมีเพื่อน ๆ มาช่วยกันดัน และคอยให้กำลังใจ จนผ่านไปสักพักก็เริ่มมีคนเข้ามากดติดตาม และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร หลายเดือนเลยทีเดียวกว่าที่ช่องของเธอจะมีคนรู้จัก และในที่สุดเธอก็ได้ “เงินก้อนแรกจากอาชีพยูทูบเบอร์” เมื่อเวลาผ่านไปได้ 5 เดือน โดยได้มาเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท ซึ่งเธอได้นำไปแบ่งให้พ่อแม่ 13,000 บาท เพื่อให้พ่อแม่นำไปใช้หนี้ค่าผ่อนรถ ส่วนเงินที่เหลือเธอนำมาเลี้ยงหมูกระทะคนในบ้าน โดยเธอพูดถึง “รายได้ก้อนแรกในชีวิต” นี้ว่า… แม้ไม่เยอะ แต่ก็ภูมิใจที่พิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า…เธอทำได้

แบ่งรายได้ช่วยคนในชุมชน

“หลังจากพิสูจน์ตัวเองได้ ปรากฏคนในหมู่บ้านเข้ามาชมเราใหญ่เลย แถมตอนนี้ยังมีเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านหลายคนหันมาเดินตามเส้นทางนี้แบบเราอีกด้วย บางคนก็เข้ามาขอคำแนะนำจากเรา เราก็ช่วยสอนให้เขาไป” นานุชบอกเรื่องนี้ด้วยแววตาเป็นประกายอย่างคนที่รู้สึกภูมิใจ โดยเธอได้บอกกับเราอีกว่า… แต่ก่อนครอบครัวมีรายได้แค่จากการทำเกษตร แต่รายได้ก็ไม่มากมายอะไร เรียกว่า…ได้เงินมาก็ต้องไปใช้หนี้ เธอเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าที่แบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไม่ได้ จนเมื่อตัดสินใจเข้าสู่ “เส้นทางยูทูบเบอร์-ถนนอินฟลูเอนเซอร์” และมีรายได้เข้ามาจากอาชีพนี้เพื่อช่วยพ่อแม่ช่วยครอบครัวได้ เธอจึงรู้สึกภูมิใจ และนั่นก็ทำให้เธอมองตัวเองว่า… “ชีวิตมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น”

“นานุช-นารีนุช” สาวกะเหรี่ยงยูทูบเบอร์คนดังที่มีเรื่องราวและเส้นทางชีวิตน่าชื่นชม ได้บอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ทิ้งทายในการสนทนาว่า… สำหรับ “เป้าหมายชีวิต” นับจากตอนนี้ หลังช่องและผลงานของเธอเริ่มมีคนติดตามมากขึ้น และชื่อของเธอเริ่มเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นแล้ว ก็คือการ “โฟกัสกับผลงาน” โดยเธอตั้งใจว่า… จะพยายามทำคลิปทุก ๆ คลิปให้ออกมาดีที่สุด และตั้งใจจะสร้างสรรค์ผลงานต่อไปเรื่อย ๆ เพราะอาชีพนี้น่าจะเป็นการหารายได้เสริมที่ดีที่สุดสำหรับคนบนดอยอย่างเธอ… “ตอนนี้ที่ตั้งใจไว้คือ พยายามเก็บเงินเพื่อลงทุนซื้ออุปกรณ์ทำคลิปเพิ่ม รวมถึงพยายามปั้นน้อง ๆ ของเราให้เข้ามาช่วยงาน ซึ่งเมื่อเก็บเงินได้ถึงจุดหนึ่ง เราตั้งใจไว้ว่า…จะนำไปลงทุนเปิดร้านขายของชำของตัวเองในสักวัน…จะได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง”.

ถนนเข้าหมู่บ้าน

ใช้ ‘โซเชียล’ สื่อ ‘ชีวิตคนดอย’

นอกจากใช้ “โซเชียลมีเดีย” เป็นช่องทางหารายได้จุนเจือครอบครัวและเลี้ยงตัวเองแล้ว “นานุช-นารีนุช พรเมธีกุล” ยูทูบเบอร์สาวกะเหรี่ยง ยังมีความตั้งใจสำคัญอีกเรื่องคือ หวังให้ช่องทางนี้ “ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต” ให้กับคนในหมู่บ้านของเธอด้วย โดยเธอนำเงินที่ได้รับจากการเป็นยูทูบเบอร์แบ่งไปซื้อขนมแจกเด็ก ๆ ในโรงเรียน และใช้โซเชียลหาคนมาสนับสนุนเงินทุนเพื่อซื้อขนมให้เด็ก ๆ ด้วย นอกจากนี้เธอยังถ่ายคลิป ๆ หนึ่งที่ชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยกันซ่อมแซมถนนเข้าหมู่บ้านนำไปลงในช่องของเธอ เพื่อจะให้คนในเมือง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับรู้ว่าคนบนดอยเดือดร้อนแค่ไหน… “เพราะแต่ก่อนไม่เคยมีใครมาถ่าย จึงไม่มีใครรู้ความเดือดร้อน และอีกอย่างคืออยากให้เห็นถึงความสามัคคีของคนบนดอย”.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน