งานนี้ “รัฐบาลเศรษฐา” นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ฤกษ์ปักหมุดเข็นนโยบายเรือธง โครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต แจกจ่าประชนวางแพลนเริ่มปฏิบัติการเดินหน้าให้ประชาชนลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 และจะกระจ่ายให้ประชาชนได้ใช้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยไม่ต้องออก พ.ร.บ.กู้เงิน ครอบคลุมเป้าหมาย 50 ล้านคน วงเงิน 5 แสนล้านบาท ยันทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย พร้อมแจงเกณฑ์ผู้มีสิทธิที่จะได้รับมีอายุ 16 ปี รายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี เงินฝากแบงก์ไม่เกิน 500,000 บาท ไม่รวมสลากออมทรัพย์ หุ้นกู้ พันธบัตรแง้ม ร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” เข้าร่วมด้วย

เรื่องนี้ “นายกฯนิด” บอกเป็นการทำตามสัญญาที่ได้ประกาศไว้ เมื่อตอนเลือกตั้ง ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าจะเป็นหัวเชื้อแรกในการปูทางไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจระดับสึนามิตามที่ “นายกฯเศรษฐา” ได้พูดไว้หรือไม่

ขณะที่ฝ่ายค้านโผล่ออกมาจับผิดทันควัน โดยแกนนำแถวหน้าพรรคก้าวไกลอย่างขุนพลหญิง “ไหม” น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ เย้ยว่า จะทำได้ตามที่พูดจริงหรือไม่พร้อมจี้ไปถึงรัฐบาลให้ยืนยันว่า จะได้ใช้ในไตรมาส 4 ไม่เลื่อน พร้อมบี้ให้กางแผนงานทั้งหมด อีกทั้งกลไกลมีความซับซ้อน ถ้าร้านค้ารายเล็กร่วมโครงการน้อย การให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับฐานรากน่ากังวลใจ ผลกระทบที่จะตามมา คือ หนี้สาธารณะ เอาเฉพาะการขยายวงเงินงบฯปี 2568 หนี้สาธารณะขึ้นไปอยู่ที่ 67% แล้ว ยังมีภาระดอกเบี้ยแต่ละปีเพิ่มเป็น 11% ของรายได้ เท่ากับเก็บภาษีมาเท่าใดเอาไปจ่ายดอกเบี้ยหมด เป็นคอขวดสำคัญที่รัฐบาลต้องก้มหน้ารับไป รัฐบาลชุดต่อไปต้องมาแบกรับภาระหนี้จ่อคอหอยที่จะชนเพดาน 70%

ตามติดด้วย น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์” ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ห่วงความคุ้มค้าที่มาของเม็ดเงินโครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ในการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตครั้งก่อนหน้า ธปท.ได้ส่งรายงานแสดงความห่วงใยหลายประเด็น แหล่งที่มาของเงินเป็นสิ่งหนึ่งในที่ ธปท.กังวล ธปท.ต้องมั่นใจว่าวงเงินหรือเม็ดเงินที่ต้องใช้ ต้องมีครบถ้วนตามกำหนดเวลา ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.เงินตรา ขณะที่แหล่งเงินตามมาตรา 28 ควรต้องผ่านกระบวนการ หลักเกณฑ์ถูกต้องครบถ้วน ทั้งเสถียรภาพและสภาพคล่องที่ต้องพิจารณา มุมที่ใช้วงเงิน ธ.ก.ส.ต้องดูตามขั้นตอนต่อไป หากดำเนินการได้ตามปกติ เป็นไปตาม พ.ร.บ.เงินตรา จะเป็นเงื่อนไขที่ ธปท.ให้ความสำคัญ อีกข้อที่ ธปท.กังวล คือ กลุ่มเป้าหมาย ธปท.ชัดเจนตลอดอยากเห็นแบบเฉพาะกลุ่มที่เหมาะสม และต้องคุ้มค่าไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพการคลังระยะปานกลาง และยังต้องคำนึงเสถียรภาพการคลังโดยรวม

เรื่องนี้ต้องจับตาดูกันยาวๆ ถึงการเคาะแต่ละก้าวที่มีแล้ว เป็นเพียงสร้างฉากเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ทะลุทะลวงรายละเอียดที่สำคัญ คือการดำเนินการต้องเป็นไปด้วยความโป่รงใส เงินไม่ไหลเข้ากลุ่มนายทุนอย่างเดียว อะไรก็ตามที่รัฐออกมาตรการต้องให้ได้ประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน

แต่ล่าสุดได้ออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการเตรียมการ เพื่อรองรับการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ด้วยการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ปี 67 ลดค่าจดทะเบียนโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% เฉพาะที่จดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน สำหรับการซื้อขายอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ ที่ดินพร้อมอาคาร ห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา

ประเด็นนี้ก็ถูก “ไหม” ขุนพลหญิงแกนนำพรรคก้าวไกล ออกมาโต้ว่า นโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาไม่ใช่นโยบายใหม่ กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เดินต่อไปได้ แต่แปลกรอบนี้ คือ การลดค่าโอนจากเดิมที่ลดค่าโอนเฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ขยายเป็น 7 ล้านบาท เพราะมีสต๊อกคงค้างขายไม่ออกถึง 46% ชวนตั้งข้อสังเกตโครงการนี้เป็นไปเพื่ออะไร ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น หรือแค่กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว ให้บริษัทในภาคนี้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เลี่ยงไม่ได้ถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อนของนายกฯ เพราะเป็นเงินที่ต้องส่งต่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แต่การลดค่าโอนที่ขยายฐานไปถึง 7 ล้านบาท ทำให้สูญเสียเงินค่าธรรมเนียมถึง 2.3 หมื่นล้านบาท อยากให้รัฐบาลเปลี่ยนวิธีการ เหมือนควักเงิน อปท.ไปอุดหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ยุติธรรม

ทำเอา “นายกฯเศรษฐา”ต้องจุกอกอีก จากเหตุคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ออกอาการแข็งข้อมีมติ 5ต่อ 2  ไม่ลดดอกเบี้ย ยังคงไว้ตามเดิมที่ 2.50 % ต่อปี แม้ก่อนหน้านี้ “นายกฯเศรษฐา” กดดัน ผู้ว่าธปท.”เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ “ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ควรลดดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึงเห็นว่านโยบายการเงินมีประสิทธิผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

ทุกอย่างก้าวของรัฐบาลต้องเดินด้วยความระมัดระวัง ต้องตอบโจทย์ของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมีองค์กรอิสระตรวจสอบอยู่ใครทำอะไรเอื้อประโยชน์ตัวเองระวังวิบากกรรมจะตามมา ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังโปรยออกมาอีกมุม ก็เพื่อต้องการเร่งกู้ศรัทธาของรัฐบาลที่ถูกตัดทอนจากปมร้อนการเมืองโดยเฉพาะภาพบาดตาบาดใจที่ “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวได้โพสต์ภาพ “คุณตาทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ลงสระเล่นน้ำกับหลานๆ พร้อมยกดัมเบลโชว์ อย่างสนุกสนานเป็นคำถามที่ตอกย้ำป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ ยังรวมไปถึงการกลับบ้านมาอย่างเท่ๆด้วย อีกทั้งจะเป็นโมเดลในการปูทางไว้ให้ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯได้กลับบ้านมาอย่างเท่ๆด้วยหรือไม่

เป็นประเด็นใหญ่ที่ “รัฐบาลเศรษฐา”ต้องเร่งตีปี๊บพลิกฟื้นผลงานตัวเอง ทั้งเรื่องค่าแรง 400 บาท ที่ได้ขึ้นไปแล้วแต่เป็นไปแบบกระปิดกระปอยยังไม่ทั่วถึง อีกทั้งเงินเดือนปริญญาตรี 2.5 หมื่นบาทก็ยังไปไม่ถึงไหน

ขณะที่รัฐบาลมีความพยายามผลัดดันกาสิโนให้เกิด ทามกลางเสียงคัดค้านทั้งนักวิชาการ นักการเมือง เพราะเห็นว่า กาสิโนเป็นการเอาเงินสีเทาขึ้นมาบนดินอนาคตประเทศจะลงเหลวถ้าไม่ยังพร้อม

กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)หลังปิดประชุมสภา มีการเขย่าแรงขึ้น ต้องจับตาดูใครจะไปอยู่ที่ไหน อย่างไร แต่การปรับครม.ครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการแลกสลับกระทรวงเพื่อให้เหมาะกับงานมากขึ้น เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มีการปรับบ่อยเพื่อแก้ปัญหา ส่วนรัฐมนตรีที่โลกลืมก็ต้องมาลุ้นจะได้ไปต่อหรือไม่

เห็นสัญญาณ นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า ออกมาปลุกใจลูกพรรคในวันประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย ย้ำชัดว่าพรรคเพื่อไทยดีเอ็นเอไทยรักไทยผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ พร้อมชม นายกฯเศรษฐา เป็นนักบริหาร มากประสบการณ์ เครือข่ายแน่น มั่นใจนำพาประเทศได้ ส่วน แพทองธาร สายตรงเลือดพ่อบวก คุณหญิงอ้อคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เข้มแข็ง เด็ดขาดเป็นผู้นำพลิกเกมได้ พร้อมกำชับให้สส.เข้าถึงชาวบ้านทั้งกายใจ เล่นเอา “นายกฯเศรษฐา”ยิ้มหน้าบานสัญญายังดี

ที่เห็นนี้เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม หลังสิงหาคมไปแล้ว “ทักษิณ”ก็จะพ้นโทษหลุดบ่วงกรรมอย่างแท้จริงก็อาจจะเห็นลีลาในการปลุกกระแสนิยมฟื้นศรัทธาให้พรรคเพื่อไทยมากขึ้น อาจจะได้เห็นนโยบายใหม่ๆออกมาเร็วขึ้น และจะได้เห็นถึงความเข้มข้นในการชักธงรบเพื่อนำไปสู่การฟื้นศรัทธาของ “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” เป็นการปูทางให้ลูกสาว “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นบัลลังก์นายกฯคนที่ 31

ขณะที่พรรคก้าวไกลก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ลูกผีลูกคนหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องยุบพรรคกรณีการล้มล้างการปกครอง จึงเป็นจังหวะก้าวของพรรคเพื่อไทยที่ต้อเร่งสร้างความเชื่อมั่น เดินหน้าบุกลุยเรียกคะแนน โกยแต้มศรัทธาให้อยู่ในกำมือโดยเร็ว อย่ามัวแต่สร้างวิมานในอากาศ ที่ประชาชนเห็นทีต้องโบกมือลา.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดที่นี่