ถูกพูดถึงอยู่ไม่น้อยสำหรับข่าวแซ่บๆ ในวงการบันเทิงของ “มาดามกุ๊งกิ๊ง” แห่งคอลัมน์ “มายาลั้ลลา” ที่ “เดลินิวส์” ที่มีการบอกใบ้ถึงนักร้องยุค 90 ที่ชีวิตดิ่งขั้นสุด ถูกดูถูกและตกอับไม่จบสิ้น จนทำให้คิดฆ่าตัวตาย งานนี้คนโยงไปอย่างมากมายว่าเป็นนักร้องคนนั้นคนนี้ จนล่าสุดในรายการดังทางยูทูบ Dailynews Live-TH อย่างรายการ Daily POP LIVE ได้เชิญนักร้องสาวสวย โรสแมรี่ มาร่วมพูดคุยถึงเส้นทางชีวิตที่สุดแสนจะยากลำบากของเธอ ซึ่งเธอยอมรับตรงๆ อีกด้วยว่าเป็นคนในข่าวดังกล่าวอีกด้วย

ทักทายแฟนๆ สักหน่อย?

“สวัสดีแฟนๆ เดลี่ป๊อป ไลฟ์ทุกคนด้วยนะคะ โรสแมรี่เองค่ะ”

ก่อนหน้านี้คนโยงว่าโรสแมรี่ตกอับขั้นสุด ชีวิตดิ่งมากเคยคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ดีขึ้น ยอมรับว่าเป็นคนในข่าวนี้หรือไม่?

“ยอมรับค่ะ เรื่องนี้จนถึงปัจจุบันคนยังคิดว่าเราอาจจะไม่ล้มบ้าง ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง เหมือนแบบไม่หาอะไรทำ ไม่ทำอะไร ไม่ออกมาพูดอะไรเลย หาว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีบ้าง เพราะว่าช่วงที่ป่วยและลูกไม่ได้ไปโรงเรียน ตอนแรกเรื่องพ่อของเราก่อน ตอนที่พ่อป่วยหนักๆ พ่อโรสเป็นคนฟิลิปปินส์ ทีนี้พ่อไม่มีบัตรทอง แล้วพ่อต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน ตอนนั้นเราก็เลี้ยงลูกเล็ก 3-4 ขวบ ก็ตอนนั้นขายเครปอยู่ ก็ดูแลพ่อไปด้วยพ่อก็ป่วยติดเตียง ก็คือวุ่นวายต้องเปลี่ยนแพมเพิสลูก ต้องเปลี่ยนแพมเพิสพ่อ แล้วก็จนมีพี่คนนึงมาเจอก็เห็นว่าเราไม่ไหวละ โรสไม่ไหวแล้วนะเดี๋ยวพี่เขาจะช่วย จะประกาศช่วยเหลือ โรสก็เลยแบบว่าไม่เอาพี่ ไม่เป็นไร โรสกลัวคนว่า เขาก็แบบแต่ว่าโรสไม่ไหวแล้ว แล้วโรงพยาบาลเห็นว่าจ่ายไม่ไหวก็เลยแบกพ่อกลับมาดูแลเอง ซึ่งก็ลำบากอยู่ เพราะพ่อก็ทานอาหารไม่ได้แล้ว เพราะพ่อก็แย่แล้วเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เราก็ไปขอเพื่อนสมัยประถมขอแพมเพิส ขอมาคนละห่อก็ได้ ขอเล็กๆ ก็ได้ ไม่ได้รับการตอบรับจากเพื่อนเลยค่ะ อย่างเพื่อนสนิทโรสเองเขาก็ไม่ช่วยค่ะ เขาเงียบ ไม่มีการตอบใดๆ พอเป็นข่าวขึ้นมาปุ๊บถึงมีการติดต่อมาว่า โรสมีอะไรให้เราช่วยไหม ตอนนั้นเราก็เลยไม่มี แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้คบกันเลย เพราะเอาเราไปพูดลับหลัง มันก็เจ็บอยู่ค่ะ”

เขาบอกว่าชีวิตคุณเกิดมาไม่เคยสบายเลย จะอธิบายเรื่องนี้ยังไง?

“ใช่ค่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสบายเลย อันนี้พ่อเราก็เสียไปแล้วเนาะ พ่อเราก็ติดการพนันก็หมดตัว แล้วช่วงที่เขาติดเขาก็จะเอาเราไปฝากบ้านนู้นบ้านนี้ เคยถึงกับโดนล่ามโซ่ด้วยโซ่จูงหมา แล้วไปกินข้าวใต้ต้นไม้ตอน 2-3 ทุ่ม เคยเหมือนโดนอะไรมาเยอะมาก ตั้งแต่เล็กจนโต โรสก็เลยไม่รู้ว่าโรสเองเป็นตั้งแต่ตอนไหนโรคซึมเศร้าเนี่ย จนมาเป็นหนักๆ ตอนปี 60 อาการมันคือหลังจากพ่อป่วยหนักมากๆ พ่อเสียแล้ว พ่อไปออกรายการตี10 จำได้เลยว่าร้องเพลงไม่ไหว มือสั่น หัวใจเต้นแรงมากเหมือนจะหลุด แล้วทำยังไงก็ไม่หาย ก็เลยเขียนจดหมาย เขียนพินัยกรรมแล้วว่าจะฝากพีเจ (ลูกชาย) ไว้กับใคร ใครที่ช่วยดูแลพีเจได้นะ เสร็จทีนี้ก็เลยไปที่ รพ.รามาธิบดี ก็ไปตรวจทุกอย่างค่าตับ ค่าไต อะไรทุกอย่าง ปกติหมด ตรวจซ้ำตรวจซากก็ปกติ บอกหมอว่าเราจะตายแล้วจริงๆ หมอบอกแต่มันไม่เป็นอะไรเลยนะคะคนไข้ ก่อนหน้านี้ก็มีอ่านมาบ้างแล้วล่ะ ว่าหัวใจแบบนี้จะเป็นอะไร แล้วมันก็มีเด้งมาว่า แพนิค เราก็แบบแพนิคไหมคะหมอ หมอก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้ไปพบจิตแพทย์ได้เลย”

สรุปว่าโรคที่เราเป็นที่รักษาตั้งแต่ปี 60 คือแพนิคกับซึมเศร้า เป็นมาอย่างไร?

“ใช่ค่ะ แต่เหมือนซึมเศร้านี่เป็นมานาน คือเราเป็นคนร่าเริง ไม่ได้ซึมเศร้ามานั่งเศร้า อาการของโรคมันอยู่ข้างในซึ่งเรามองข้างนอกไม่เห็น แล้วโรสเป็นซึมเศร้าแล้วร่างกายมันไม่ไหวจนมาเป็นแพนิค มันเหมือนต่อต้านข้างในว่าเราไหวอยู่ แต่ร่างกายบอกว่าแกไม่ไหว ก็เลยรักษาตลอดมา โรสเองก็ไม่อยากใช้คำว่าโรคซึมเศร้ามาเป็นข้ออ้างให้กับการไม่ทำอะไร หรือไม่อยากให้คนคิดว่ามาเป็นข้ออ้าง แต่จริงๆ คนก็จะไม่รู้เลยว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเนี่ย บ้านพังมาก คือไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาล้างจานสักใบ คือมีคนที่เป็นเหมือนกัน เขาไปหาหมอ หมอน่าจะเป็นต่างชาติ หมอของเขาบอกเลยว่าแค่คุณลุกขึ้นมาล้างจานใบนึง คุณก็เก่งมากแล้ว แค่คุณลุกมาเก็บที่นอนคุณก็เก่งมากแล้ว ขนาดนั้นเลยนะคะ”

จริงๆ โรสก็ไม่ได้นิ่งเฉย หลายคนบอกเพราะไม่ทำอะไรรึเปล่าเลยไม่มีเงิน มัวแต่มาขอ อันนี้คือข้อความที่ชาวเน็ตเขียนถึงโรส รู้สึกอย่างไรบ้าง?

“ใช่ บางทีก็ปรี๊ดมากนะ ปรี๊ดด้วยโรคด้วย บางคนเลี้ยงลูกคนเดียวโดยที่ไม่มีญาติพี่น้องเลยสักคนไม่มีทางออก การที่ไปหางานก็ยาก ที่หมอบอกว่ายูยังขับรถไม่ได้ตอนนี้ที่เราป่วยเมื่อ 3 เดือนก่อนเกือบจะตายแล้ว เพิ่งกลับมารักษาใหม่อีกรอบนึง หมอบอกยายังไม่เสถียร ยังไม่สามารถขับรถให้ใครได้ ถ้าจะดูแลชีวิตใครสักคนนึงเนี่ยอันตรายนะ คุณหมอก็เชียร์กลับมาร้องเพลงดีกว่า คนก็จะคิดว่าไม่ทำอะไร ไม่ทำงาน แต่ด้วยปัจจัยเราก็คือ เราต้องรับส่งลูกค่ะ ลูกคนเดียวของเรา ซึ่งกำลังจะเข้าวัยรุ่น โรสปล่อยไม่ได้แล้วสังคมสมัยนี้ จะปล่อยให้ลูกนั่งรถเมล์ไปหรือว่าไปอยู่กับเพื่อนคบเพื่อนที่เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ซึ่งตอนนี้สังคมแวดล้อมมันอันตรายมาก คือเขาเหลือโรสคนเดียวแล้ว โรสจะไปเมื่อไหร่โรสก็ไม่รู้ วันนี้โรสเลยอยากทุ่มเทกับเขาเต็มที่ที่สุด ใช้เวลากับเขาให้มากที่สุด”

คนชอบว่าคุณเลือกงาน เรื่องนี้พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม?

“เอาจริงๆ คนไม่รู้อะไร เขาจะคิดว่าโรสเลือกงาน โรสไม่เลือกงานเลย โรสไปทำเป็นเอ็กซ์ตร้า 600-700 บาท โรสเอาหมดเลยนะ พีเจก็ด้วย ตัวเมนก็มี เอ็กซ์ตร้าก็เอา คือทุกอย่างเอาหมดทั้งคู่ แล้วทำให้ไปส่งลูกได้ไปรับลูกได้ โรสเอาหมดนะ ตอนนั้นโรสเริ่มป่วยละป่วยจากการกินยาเกินขนาด ก็มีคนเรียกไปไลฟ์แล้วก็แบบพี่โรสรู้ตัวเองไหมว่าโทรมมาก เหมือนคนจะไม่ไหว เขาก็เลยแบบไลฟ์ไม่ได้แล้ว แล้วก็พูดจางงๆ ด้วย โรสก็คิดว่ามีศักยภาพพอ ซึ่งโรสก็ยังร้องเพลงได้ เรียกโรสไปทำงานได้ แต่ไม่มีใครให้โอกาสนั้น ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลยแม้เเต่คนเดียว น้อยใจมาก ซึ่งเล่นเป็นตัวประกอบก็ได้ คนใช้ก็ได้ ขอให้ติดต่อมา แต่ไม่มีเลยค่ะ”

มีคนโทรฯมาบอกจะช่วย แต่ไม่เคยช่วยจริงๆ ใช่ไหม?

“ใช่ค่ะ บางคนไม่โทรฯเลย เห็นในเฟซบุ๊กแล้วส่งข่าวมา ผู้จัดเองนะคนนี้ รู้ว่าเรามีปัญหาแต่ไม่ช่วย แล้วทุกวันที่มีข่าวให้ไปทำงานนั้น ไปทำงานนี้นะ พอข่าวซาสักอาทิตย์นึงก็หายไป โรสเป็นอีกหนึ่งคนที่โดนทิ้งตลอด ให้มีความหวังว่า เฮ้ยเราจะได้งานแล้วนะ โทรฯหาเพื่อนแบบดีใจนะ คนเป็นโรคซึมเศร้าจะรู้สึกด้อยค่าตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีงานทำ จะยิ่งรู้สึกไม่มีค่าเลย”

นอกจากนี้คนยังใจร้ายซ้ำเติมคุณ ด้วยการพยายามสอบถามถึงเรื่องราวพ่อน้องพีเจ คนก็อยากจะรู้มากว่าพ่อของน้องคือใคร?

“พ่อของน้องก็เป็นคนในวงการเนี่ยแหละค่ะ ถ้าเล่าเดี๋ยวมันจะยาว อันนี้ขอไปเล่าแยก ถ้าสมมุติมีรายการไหนติดต่อมา ขอเล่าแยกดีกว่า ตอนแรกเราไม่พร้อมจะพูด แต่ตอนนี้เราพร้อมจะพูดแล้ว เพราะน้องน่าจะโตพอที่จะรับรู้เรื่องและเขาก็เข้าใจมาตลอดว่าแม่ลำบาก โรสช้ำทุกเรื่องเลย ช้ำทั้งคนที่มาซ้ำเติมด้วยในคอมเมนต์ ช้ำคนในวงการที่เห็นเราลำบากและเมินเฉย ไม่มีใครถามเลย”

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าพ่อน้องพีเจอยากให้โรสทำแท้งก่อนเขาคลอดออกมา จริงไหม?

“ใช่ เขาไม่ต้องการเอาน้องไว้ เขาบอกเขาไม่พร้อม ตอนนั้นร้องเพลงกลางคืนอยู่ แล้วร้องมา 7-8 ปี แล้วเป็นงานเดียวที่เรามี แล้วเราก็เช่าบ้านแล้วท้องมันกำลังจะโต เราต้องเลือก 2 อย่างแล้วเราไม่มีทางเลือกเลย มี 2 อย่างก็คือ เอาน้องออก กับเก็บน้องไว้แล้วทิ้งชีวิตทั้งหมด แต่จะไปทางไหน ซึ่งก็มีเพื่อนที่มีโรงแรมอยู่จังหวัดๆนึง แล้วเขาก็บอกว่ามีที่พักพนักงานให้นะ ไปไหม เอาพ่อไปด้วยก็ไปร้องเพลง ส่วนโรสก็ไปเดินดูโรงแรมดูแลความระเบียบเรียบร้อย โรสก็เลยตัดสินใจเก็บเอาไว้ ถามว่าโรสโทษเขาคนเดียวไหม โรสก็ไม่โทษ เพราะว่าสิ่งนี้มันเกิดจากเรา 2 คน ในเมื่อ 50% เขาไม่รับ 50% โรสรับ”

“หลังจากนั้นโรสหายไปเลยค่ะ เพราะโรสพูดคำว่า ถ้าคุณกับลูกไม่มีเรา คุณอยู่ไม่ได้หรอก โรสแบบโอเค เราก็ตัดขาดจากตรงนั้นแล้วโรสก็ทิ้งทุกอย่าง ซึ่งงานร้องเพลงมันก็ไม่มี ซึ่งก็ตัด แล้วใช้ชีวิตแบบสะเปะสะปะมากคือกินเหล้าทุกคืน ชีวิตคือเละเทะมากคือไม่มีไม่คิดว่าจะเลิกเปลี่ยนตรงนี้ได้ด้วย คือโรสเปลี่ยนใหม่หมดแล้วหักดิบตัวเองใหม่หมดแล้วเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างเพื่อเขา (ลูกชาย) คนเดียว”

แต่อีกหนึ่งอย่างพี่โรสก็โชคดีเช่นเดียวกันถ้าให้มอง ณ ปัจจุบัน มีลูกที่น่ารักมากๆ น่าจะเจริญรอยตามแม่คือการเป็นศิลปิน อันนี้ได้มองทางเขาไว้อย่างไงบ้าง ?

“ก็แล้วแต่เขา เขาอยากเป็นเกมเมอร์ เขาชอบเล่นเกมแล้วเขาก็สร้างเกมอะไรของเขาได้ แต่ว่าเราก็ไม่มีแรงสนับสนุนเขา เราก็สนับสนุนตามกำลัง วันนึงถ้าเรามีเราก็จะสนับสนุนเขาให้เต็มที่ แต่เราไม่ได้มีเหมือนคนอื่นเขา เราก็บอกเขาตลอด เขาก็จะเข้าใจ ก็จะบอกไม่เป็นไรหรอกคุณแม่ประหยัดเถอะ น้องเข้าใจตรงนี้ เราคิดว่ามันอาจจะเป็นภูมิต้านทานที่วันนึงเขาจะโตขึ้นเขาจะได้รู้ว่าเขาลำบากมาก่อน”

ส่วนเพื่อนอย่างเปิ้ล กมลพรรณ Mrs.Thailand 2024 ทำไมถึงตัดสินใจมาช่วยโรสแมรี่ ด้วยการที่ล่าสุดจัดคอนเสิร์ต “แบ่งปันน้ำใจเพื่อโรสแมรี่”เพื่อให้เพื่อนสนิทคนนี้ด้วย?

“ตอนแรกตัดสินใจช่วยเขา เพราะจัดอยู่ในสถานะคล้ายๆ กัน เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน แต่อยู่ในสถานการณ์เจอวิบากกรรมกันคนละแบบ ก็เลยเป็นที่มาของการจัดคอนเสิร์ตวันที่ 3 พฤษภาคม นะคะ ที่ CDC BALLROOM จัดมาเพื่อปันน้ำใจกับโรสแมรี่ ส่วนรายได้ครึ่งนึงก็มอบให้กับพี่โรสแมรี่ อีกครึ่งนึงมอบให้กับสถาบันจิตเวช ซึ่งตัวบัตรคอนเสิร์ต 800 บาท 800 เนี่ยทุกท่านก็จะได้เห็นศิลปินที่โชว์ ส่วนอีกบัตรนึงจะอยู่ที่ 1,200 บาท ก็จะได้เสื้อตัวนี้แล้วก็จะได้ทรัมป์ไดร์ฟเพลงด้วย”

สุดท้ายฝากขอบคุณกำลังใจจากแฟนๆ หน่อยที่เคียงข้างโรสมาอยากบอกอะไรเขา?

“ขอบคุณคนที่ให้กำลังใจ และยังเข้าใจเราอยู่แล้วก็คนที่ไม่เข้าใจเราก็ไม่รู้จะพูดกับเขายังไงเนาะ ก็ไปอภัยไปดีกว่า ซึ่งเรายังไม่รู้เลยว่าชีวิตเขาเป็นยังไง เพราะบางทีมันมีเกรียนคีย์บอร์ดเยอะอันนี้เข้าใจได้ ก็เราพยายามไม่ไปอ่านแหละเพราะมันบั่นทอน คือยอมรับว่ามันค่อนข้างบั่นทอนเพราะว่าเขาไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ อยากให้มาลองเป็นโรสสักอาทิตย์นึงจังเลย คิดจริงๆ อยากให้มาเป็นฉันสักอาทิตย์นึง แล้วฉันจะเป็นเธอบ้างมาพิมพ์ด่าเธอ แต่ว่าเราให้อภัย ฝากเชียร์โรสต่อไปด้วยนะคะ”

ยิ่งได้พูดคุยกับสาวโรสแมรี่แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมาอย่างมากมายจริงๆ แม้วันนี้เธออาจจะยังลุกขึ้นมาไม่ได้ ยังคงต้องดิ้นรนเพื่อลูกต่อไป แต่เชื่อว่าในอนาคตจากความรักของแฟนๆ ที่มีต่อเธอนั้น จะทำให้เธอลุกขึ้นมายืนและเป็นดาวโดดเด่นเหมือนเดิมได้แน่นอน

————————-

คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย “yimyim”