สส.พรรคฝ่ายค้านออกอาการเต้น!กันใหญ่ เมื่อสื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า นายทักษิณ ชิณวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้มีการพูดคุยกับผู้นำกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ต่าง ๆ และฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อหาทางออกจากสถานการณ์การสู้รบในประเทศเมียนมา ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาใน จ.เชียงใหม่

ถึงขนาดนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยังบอกว่าความเคลื่อนไหวของนายทักษิณที่พบปะกลุ่มชาติพันธุ์เมียนมา เพื่อเจรจาสันติภาพในเมียนมา จะสร้างความสับสนต่อบทบาทประเทศไทยในการสร้างสันติภาพในเมียนมา เพราะนายทักษิณไม่มีตำแหน่งใดในรัฐบาล และรัฐบาลไม่ได้มอบหมายให้ในฐานะตัวแทนรัฐไทยไปดำเนินการ

นายรังสิมันต์ย้ำว่า เขาสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นคนกลางเพื่อสร้างสันติภาพในเมียนมา แต่ควรเป็นไปในกลไกที่ถูกต้องและความชอบธรรม แต่กรณีของนายทักษิณนั้น ไม่รู้เป็นมาอย่างไร ไปเจรจาต่าง ๆ ได้อย่างไร


การพบปะระหว่างนายทักษิณกับผู้นำกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงหรือไม่? หรือคุยกันกี่คน? เป็นคนระดับไหน? เรื่องอะไรบ้าง? ยังไม่มีใครทราบรายละเอียดที่ชัดเจน ตราบใดที่นายทักษิณยังไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่ที่ชัดเจนแล้วคือ เพื่อนสนิทของนายทักษิณ อย่างสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอคอลคุยกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา

สมเด็จฯฮุนเซน เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า มิน อ่อง ลาย ได้ขอบคุณและชื่นชมการมีส่วนร่วมของฮุนเซน ในการเยือนเมียนมา และพยายามมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเมียนมา พร้อมกันนั้น สมเด็จฯฮุนเซนยังใช้โอกาสนี้ขออนุญาตจาก มิน อ่อง ลาย เพื่อให้ได้คุยกับนางอองซาน ซูจี ที่ถูกคุมขัง เนื่องจากได้เคยร่วมงานกันมาหลายปีแล้วในกิจการของอาเซียน และหวังว่าคำขอของเขาจะได้รับการพิจารณา

สำหรับประเทศไทยในอดีต เมื่อกว่า 40 ปีก่อน เคยมีประสบการณ์กับปัญหาชายแดนทางภาคอีสานตอนล่าง และภาคตะวันออกมาอย่างยาวนาน จากปัญหาเขมร 3-4 ฝ่าย ซึ่งตอนนั้นมีปัจจัยสำคัญในเรื่อง “ความมั่นคง” เท่านั้น! แต่ประเทศไทยยังต้องดำเนินนโยบายทางการต่างประเทศทางการทหาร ไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

หรือแม้แต่กรณี “จีนเดียว” ระหว่างจีน-ไต้หวัน ไม่ได้มีผืนแผ่นดินติดต่อกับประเทศไทยด้วยซ้ำไป แต่ไทยก็ต้องวางตัวอย่างเหมาะสม และดำเนินนโยบายทางการต่างประเทศไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

วกกลับมาที่ปัญหาการสู้รบในเมียนมา ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทยยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันปีละกว่า 1 แสนล้านบาท ในขณะที่ช่องทางการค้าชายแดนหลายพื้นที่ อยู่ในเขตอิทธิพลของหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงบุ่มบ่าม หรือออกตัวผิดจังหวะไม่ได้เลยกับสถานการณ์ในเมียนมา

ปัจจุบันสถานการณ์สู้รบในเมียนมากลับไปสู่อีหรอบเดิมเหมือนอดีต คือ “สู้รบยืดเยื้อ” เจ็บตัวกันทุกฝ่าย แต่ไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด! ยิ่งนานวันก็ “เมื่อยล้า” กันทุกกลุ่ม จึงต้องหา “ทางลง” ให้นุ่มนวลที่สุดกันทุกฝ่าย

ตราบใดที่แต่ละกลุ่มในเมียนมา ไม่ค่อยไว้วางใจต่อบทบาทของ “ชาติมหาอำนาจ” ก็อาจจำเป็นต้องใช้บริการคนที่มีบารมีในอาเซียน อย่าง “ทักษิณ-ฮุนเซน” ที่สามารถคุยกับรัสเซีย-จีน รู้เรื่อง!

วันนี้ถ้ามีภาคเอกชน หรือผู้มากบารมีคนไหน สามารถคุยเจรจาให้อิสราเอลสงบศึกกับปาเลสไตน์ สามารถคุยให้รัสเซียหยุดยิงกับยูเครน หรือช่วยเป็น “คนกลาง” ในการพูดคุยให้กลุ่มต่าง ๆ ในประเทศเมียนมาวางปืน หยุดการสู้รบ เพื่อรีบเดินหน้าจัดการเลือกตั้ง จะได้รับการชื่นชมยกย่องจากผู้คนค่อนโลก!!.

……………………………………..
พยัคฆ์น้อย

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…