อีกแค่ 2 วันก็จะถึงเทศกาลกินเจกันแล้ว ซึ่งปีนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. ไปจนถึงวันที่ 14 ต.ค. การกินเจ ตามหลักทั่วไปแล้วจะกินเป็นระยะเวลา 9 วัน 9 คืน หลายคนอาจจะเคยกินเจมาแล้ว และยังมีอีกหลายคนเพิ่งเริ่มกินเจในปีนี้ วันนี้ลองมาเรียนรู้วิธีเตรียมตัวกันอย่างถูกต้องตามหลักการกินเจ กันก่อนดีกว่า เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องและเหมาะสม…

  • เข้าใจจุดประสงค์ในการกินเจ
    การกินเจของแต่ละคน อาจจะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน แต่จุดประสงค์หลัก ๆ ก็สามารถแบ่งออกเป็น “กินเจเพื่อสุขภาพ” ให้ร่างกายได้ปรับสมดุล ขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกาย “กินเจด้วยจิตเมตตา” เพื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์ “กินเจเพื่อเว้นกรรม” สำหรับผู้ที่ตระหนักถึงกฏแห่งกรรมในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ต้องการกินเจเพื่อไม่ให้เบียดเบียนและสร้างกรรม แต่ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์ใดก็ตาม ๆ ผู้ที่กินเจก็จะได้ประโยชน์ทั้งทางสุขภาพ และยังได้สร้างบุญกุศลอีกด้วย
  • งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
    อย่างที่รู้กันดีว่า การกินเจ เราต้องงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งก็รวมถึงนม เนย หรือน้ำมันที่ทำจากสัตว์ด้วย ซึ่งถือเป็นการละเว้นจากการทำบาปและการฆ่าชีวิตผู้อื่น
  • งดเว้นการรับประทานผักฉุน 5 ชนิด
    ถึงแม้การกินเจจะคล้ายกับการกินอาหารมังสวิรัติ ในแง่ของการไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่หลักในการกินเจจะต้องงดเว้นการรับประทานผักฉุน 5 ชนิด ซึ่งได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย และใบยาสูบ เพราะมีความเชื่อว่าผักเหล่านี้มีรสหนัก กลิ่นฉุน และยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
  • ล้างท้องก่อนการกินเจ
    การล้างท้องก่อนกินเจ เราอาจจะเห็นคนส่วนใหญ่นิยมล้างท้องกันก่อนวันจริงเทศกาลกินเจ ประมาณ 1-2 วัน ซึ่งจะทำการงดทานเนื้อสัตว์ และของต้องห้ามต่าง ๆ แต่เพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว แนะนำว่าอย่าพึ่งหักโหมล้างท้อง โดยการงดทุกอย่างภายในวันเดียว แต่ควรเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าสัก 3-4 วัน เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว โดยค่อย ๆ ลดจากเนื้อสัตว์ใหญ่ ไปเป็น ปลา ไข่ นม และถั่วต่าง ๆ อีกทั้งเริ่มทานผักให้มากขึ้น ปรับรสชาติอาหารให้เป็นรสชาติกลาง ๆ เมื่อถึงวันล้างท้องล่วงหน้า 1 วัน ค่อยปรับมาทานอาหารเจค่ะ ที่สำคัญต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพที่ดี
  • ห้ามทานอาหารรสจัด
    เพราะอาหารรสจัดจะยิ่งไปกระตุ้นต่อมการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำงานหนักมากขึ้น เป็นผลให้จิตใจของเราไม่สงบในช่วงถือศีล ซึ่งอาหารรสจัดสำหรับการถือศีลกินเจนั้น หมายถึง อาหารรสจัดทั้งหมด เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัดนั่นเอง
  • ไม่ใช้ถ้วยชามปนกัน
    เพราะชาวจีนเชื่อว่าการใช้ภาชนะใส่อาหารคาว ซึ่งชาวจีนจะเรียก “ชอ” นั้น ไม่ควรนำมาปะปนกับอาหารชนิดอื่น แม้จะล้างสะอาดหมดจดแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ไม่ได้เคร่งครัดเป็นพิเศษ ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร
  • แต่งกายด้วยชุดขาว
    หลายคนอาจจะคิดว่าข้อนี้มีความจำเป็นจริงหรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ เพราะการแต่งกายด้วยชุดขาว สามารถสื่อถึงความบริสุทธิ์ เป็นสีแห่งความสะอาดของจิตใจและร่างกาย อีกทั้งในปัจจุบัน การแต่งกายชุดขาวไปโรงเจ ยังง่ายต่อการบริหารจัดการคน สำหรับศาลเจ้า หรือโรงเจบางแห่งอีกด้วย
  • ถือศีลปฏิบัติธรรมในช่วงกินเจ
    ช่วงเทศการกินเจ ควรรักษาศีล 5 ทำจิตใจและกายให้บริสุทธิ์ ไม่คิดชั่วทั้งทางกาย วาจา และใจ เช่น งดทานเนื้อสัตว์ ไม่พูดจาหยาบคาย ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ดื่มสุราและของมึนเมาตลอด 9 วัน
  • การดื่มกาแฟในช่วงกินเจ
    เรื่องนี้เป็นปัญหาคาใจของผู้ที่ติดกาแฟอยู่เหมือนกัน เพราะบางคนไม่แน่ใจว่าในช่วงเทศกาลกินเจเราสามารถดื่มกาแฟได้หรือไม่ ตามหลักแล้วหากเป็นกาแฟสำเร็จรูปปกติ ก็ไม่ควรดื่มนะคะ เพราะส่วนใหญ่มักจะมีครีมเทียม หรือส่วนผสมของนมผงอยู่ด้วย ดังนั้นอาจจะต้องเลือกดื่มเป็นกาแฟดำ หรือโอเลี้ยงที่ไม่มีส่วนผสมของนม หรือถ้าใครสะดวกเป็นกาแฟสำเร็จรูปมากกว่า ก็ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์เจบนผลิตภัณฑ์ดีกว่า
  • ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง
    โดยตะเกียงทั้ง 9 ดวงนี้ ส่วนใหญ่จะจุดกันที่ “แจตั๊ว” ซึ่งหมายถึง สถานที่กินเจ อย่างเช่น ศาสเจ้า โรงเจ โรงทาน เป็นต้น โดยตะเกียงทั้ง 9 ดวงนี้จะสมมุติเป็น “เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว” (พระพุทธ 9 องค์เสด็จลงมาโปรดสัตว์ในเมืองมนุษย์) ซึ่งต้องจุดไว้ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดช่วงเทศกาลกินเจทั้ง 9 วัน เพื่อเป็นพุทธบูชา และรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด จึงต้องไม่ให้ตะเกียงทั้ง 9 ดวงนี้ดับ เพราะถ้าดับตะเกียงดวงใดดวงหนึ่ง ก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลค่ะ..