ต้องยอมรับว่าในเดือน ต..นี้ ได้กลายเป็นสวรรค์ของ “นักเล่นทอง” เมื่อราคาทองคำทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่องทุกวันจนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ โดย 24 วัน นับจากวันที่ 1-24 .. 67 ราคาทองคำปรับขึ้นมาทั้งหมด 3,250 บาทและหากนับตั้งแต่ต้นปีปรับขึ้นมาแล้ว 10,000 บาท ทำให้ราคาทองคำ ทองรูปพรรณขณะนี้ขายออกบาทละ 44,150 บาท และทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,650 บาท

ผวาทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

ความร้อนแรงที่เกิดขึ้นของทองคำในครั้งนี้ บรรดากูรู ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า…มาจากความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.นี้ นักวิเคราะห์มองว่า หากนายโดนัลด์ทรัมป์ คว้าชัยการเลือกตั้งและกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอีกสมัยจะส่งผลกระทบต่อทิศทางนโยบายต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแผน การลดภาษีสหรัฐ แผนการขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้า และแผนการผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งถูกมองว่าจะเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้บรรดานักลงทุนต่างย้ายเงินเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” กันจ้าละหวั่น

แม้ว่าหาก “ทรัมป์” ได้ครองตำแหน่งอีกครั้ง ก็ใช่ว่าจะมีแต่ความท้าทายเท่านั้น ในด้านดี ด้านบวก ก็มีไม่น้อยเช่นกัน!! โดยนักวิเคราะห์มองว่า จะทำให้เศรษฐกิจโลกสามารถรอดพ้นจากภาวะ “ถดถอย” เพราะมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจะกระตุ้นให้ธุรกิจในสหรัฐเพิ่มการจ้างงานและปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตขึ้น และราคาน้ำมันดิบโลกลดลงจากนโยบายส่งเสริมการผลิตน้ำมันในสหรัฐและการทำข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศในตะวันออกกลางและรัสเซียเป็นผลดีต่อประเทศที่นำเข้าพลังงานอย่างไทย

ห่วงสงครามตึงเครียด

ขณะเดียวกันความตึงเครียดในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น หลังอิสราเอลได้มีการยืนยันการเสียชีวิตของ “ยาห์ยา ซิน วาร์” ผู้นำกลุ่มฮามาส จากที่ก่อนหน้าได้สังหาร “มุสตาฟาฮาริรี” ผู้บัญชาการของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอนสถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าฮามาส-ฮิซบอลเลาะห์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านจะมีการตอบโต้กลับหรือไม่

ลดดอกเบี้ยดันทองขึ้น

อย่างไรก็ตามในเรื่องของดอกเบี้ยนั้น พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกต่างมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า จากช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ปรับลดไปแล้ว 1 รอบ แสดงให้เห็นว่า “ทองคำ” จะมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากทองคำไม่ได้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยจึงไม่ได้รับผลกระทบต่อประเด็นนี้ ขณะที่กองทุน ETF (กองทุนรวมดัชนี) ทองคำ ได้กลับมาเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือน ก.ย. 67 กองทุน ETF ทองคำมีเงิน ทุนไหลเข้าประมาณ 1,400 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการซื้อสุทธิ 18.4 ตัน ทำให้การถือครองทองคำสะสมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,200 ตัน ซึ่งกลายเป็นเหตุผลให้ราคาทองยิ่งปรับขึ้น

ไทยซื้อทองมากสุดในอาเซียน

ถือเป็นความต้องการที่ต่อเนื่องจากต้นปีโดยพบว่าในช่วงไตรมาส 2 ความต้องการทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเป็นจำนวน 1,258 ตัน โดยเฉพาะผู้บริโภคคนไทยมีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาสู่ระดับ 9 ตัน ทำให้กลายเป็นประเทศที่เติบโตสูงที่สุดในอาเซียน โดยเกิดจากความต้องการทองคำในการซื้อขายนอกตลาดที่เพิ่มขึ้นและมีการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง รวมไปถึงกระแสการขายออกของกองทุน ETF ที่เริ่มช้าลง ทำให้ราคาทองคำในไตรมาส 2 ที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ราคาเฉลี่ย 2,338 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และถัดมาก็ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,427 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ไล่ราคาย้อนหลัง 10 ปี

จากปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาทองคำในปี 67 ในระยะเวลา 10 เดือน 24 วัน ขยับขึ้นมาแล้ว 10,000 บาท สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์หากไล่เปรียบเทียบกับปีก่อน ๆ ที่มองว่าราคาขยับขึ้นมาสูงแล้วแต่ปีนี้สูงยิ่งกว่า โดยที่ในปี 66 ราคาทองคำปรับขึ้นประมาณ 3,800 บาท ขณะที่ในปี 65 ได้ปรับขึ้นมาแล้ว 1,200 บาท ส่วนปี 64 ปรับขึ้นประมาณ 1,800 บาท ด้านปี 63 ปรับขึ้น 5,300 บาท ไล่ไปปี 62 ปรับขึ้น 1,850 บาท ส่วนปี 61 ปรับลดลง 400 บาท สวนทางกับปี 60 ปรับขึ้น 350 บาท ปี 59 ปรับขึ้น 1,450 บาท และปี 58 ปรับลดลง 300 บาท

หลายชาติเริ่มสะสมทอง

จะเห็นได้ว่าราคาทองคำมีการปรับขึ้นต่อเนื่องแทบจะทุกปีตั้งแต่สหรัฐมีปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะเล็กน้อยจนขณะนี้ทั้งตัวเลขแรงงานยังไม่ฟื้นตัวจีดีพียังไม่ดูดีและเกิดปัญหาสงครามระหว่างประเทศจึงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวระยะหนึ่ง ประกอบกับใน 1-2 ปีนี้คนเริ่มไม่มั่นใจในสกุลเงินดอลลาร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจึงเห็นธนาคารกลางต่าง ๆ เข้าซื้อทองคำสะสมเพิ่มลดเงินดอลลาร์หรือขายดอลลาร์ออกจากพอร์ตหันมาซื้อทองคำและซื้อสินทรัพย์อื่น ๆ อย่างคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้น

ทุกวันนี้จีนเข้ามาถือทองคำแล้วประมาณ 5% จากเมื่อ 10 ปีก่อนถือทองคำ 2% และมีแนวโน้มว่าหลาย ๆ ประเทศเริ่มซื้อทองคำเพิ่มขึ้น“

ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก

จากสถิติการลงทุนในทองคำตั้งแต่ปี 59 พบว่านักลงทุนที่เริ่มออมทองหากถือทองคำแบบ Buy and Hold ช่วงราคาทองคำในตลาดโลกต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์จะได้รับผลตอบแทนรวม 63% หากถือยาวจะได้ผลตอบแทนสูงถึง 124% โดยคำนวณจากราคาปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากการฝากเงิน

มีโอกาสเห็น 45,000 บาทแน่

ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 67 นี้จากบทวิเคราะห์ของหลายสำนักต่างประเมินว่ามีโอกาสขยับขึ้นไปแตะที่บาทละ 45,000 บาท ได้หรือไม่นั้นยังคงต้องติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และติดตามการเลือกตั้งสหรัฐเพื่อดูนโยบายด้านการเงินและเศรษฐกิจว่าจะมีทิศทางอย่างไร ซึ่งหากมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกเชื่อว่าราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

แนวโน้มปี 68 ยังขึ้นต่อ

ส่วนในปี 68 เหล่าธนาคารรายใหญ่ได้คาดการณ์กันแล้วว่า “ราคาทองคำ” จะยังคงทำสถิติสูงขึ้นต่อเนื่องจากการไหลเข้าของเงินลงทุนจำนวนมากกลับเข้าสู่กองทุนรวม ETF อีกครั้ง และเป็นที่คาดว่าธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกรวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เช่น กรณีของธนาคารซิตี้แบงก์ ที่ได้ระบุในรายงานว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร และตลาดแรงงานมีแนวโน้มชะลอตัวลง อีกทั้งธนาคารกลางหลายแห่งหลายประเทศก็ยังคงมีความต้องการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด

นอกจากนี้ยังพบว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นหากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจากความตึงเครียดในแถบตะวันออกกลาง

หลังจากนี้ราคาทองคำจะไปทางไหนสเต็ปแรกคงต้องรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 5 ..นี้ ว่า “ทรัมป์” จะโชคดีอีกหรือไม่ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีผลต่อราคาทองคำแน่นอน เพราะในช่วง 4 ปี ที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ครั้งแรกระหว่างปี 60-64 ราคาทองคำแท่งในตลาดโลกพุ่งขึ้นกว่า 50%กันทีเดียว

แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใด “การลงทุน” ต่างมีความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเพราะท้ายสุดแล้วหากโชคไม่เข้าข้าง ไม่มีความรู้เพียงพอ เก็งผิดพลาด ก็อาจเจ๊งได้เช่นกัน!!.