เท่าที่นายกฯอิ๊งค์แถลง ที่พอเป็นผลงานได้ คือ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แถลงตัวเลข จีดีพี ไตรมาส 3 ที่มีการขยับตัวเพิ่มมากขึ้น 3% ที่ประเมินไว้รวม 9 เดือนเศรษฐกิจของไทยขยายตัว 2.3% และคาดว่าในปี 2567 เศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวได้ 2.6% ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจไทย โดยเศรษฐกิจที่โตขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนของทางภาครัฐและการท่องเที่ยว แต่เรื่องการลงทุนจากภาคเอกชนยังต้องเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้ได้สั่งการขอให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และ สศช. รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหามาตรการช่วยเรื่องการลงทุนของภาคเอกชนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้จีดีพีของประเทศขยับเพิ่มขึ้น
และอีกเรื่องคือการไปประชุมเอเปก ซึ่งเราจะเห็นข่าวพวกพิธีการ หรือการแสดงวิสัยทัศน์ ยังไม่เห็นผลงานการค้าการลงทุนในไทยที่เป็นผลจากนายกฯ ไปประชุม และไม่รู้ว่า เรื่องแลนด์บริดจ์จะเอาอย่างไรต่อ คำนวณความคุ้มทุนแล้วดีหรือไม่ที่จะสร้างท่าเรือน้ำลึกสองฝั่งอ่าวไทยและสร้างขนส่งระบบรางต่อ ..เมื่อเทียบกับการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกาแล้ว อะไรมันจะถูกกว่ากัน ? ..การค้าการลงทุนเป็นขาสำคัญในเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการให้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าคือ “ประชานิยมที่มีตัวเลขกำกับ ทำได้ถึงไหน อย่างไร” ก็เป็นเพราะคนจนบ้านเราเยอะยังต้องพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐมาก มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่คนจะสนใจประเด็นเม็ดเงินที่หว่านลงมากระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้าไล่นโยบายตั้งแต่พรรคไทยรักไทย นโยบายที่มีตัวเลขกำกับเป็นที่จำได้ง่าย เช่น สมัยอดีตนายกฯทักษิณ “30 บาทรักษาทุกโรค” จำง่ายมาก เลข 30 บาท ก็เอามาจากค่าทางด่วนสมัยนั้นเพื่อทำให้คำมันเด่นขึ้น สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือรัฐบาลพลังประชาชน ก็มี “รถเมล์ฟรี ค่าไฟฟรี” คำว่า ฟรี ก็แทนความหมายด้านตัวเลข สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ “จำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท” อันนี้จะผูกกับความรู้สึกเกษตรมากกว่าชนชั้นกลางในเมือง และพอมาสมัยรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร ก็“แจกเงินหมื่นกระตุ้นเศรษฐกิจ” นี่เป้าหมายทั่วประเทศ
ตั้งแต่แจกกลุ่มเปราะบาง ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแล้ว ก็มีหลายคนที่เข้าคุณสมบัติได้รับเงินรอๆ ว่า เมื่อไรจะถึงคิวเรา ก็คาดว่า ไม่น่าจะเกิน เมษา 68 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยท่องเที่ยว อันเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล รัฐบาลควรชัดเจนไปถึงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทตามที่หาเสียงไว้ด้วย ( และอยากขอให้ปรับฐานพวกอยู่นานด้วย ไม่ใช่อะไรก็จะสนับสนุนแต่เด็กจบใหม่ )
ในสายตาหลายๆ คน นายกฯอิ๊งค์ยังไม่มีอะไรโดดเด่น เพราะระยะเวลาในการทำงานยังสั้นอยู่ เรื่องซอฟต์พาวเวอร์ที่ตัวเองเคยเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นประธานคณะกรรมการดูแล วันนี้ก็ไม่ทราบชะงักไปอย่างไรบ้างหลังจาก น.ส.แพทองธารต้องมาเป็นนายกฯ แต่ก็มีซอฟต์พาวเวอร์ที่มันเดินไปได้ด้วยตัวมันเองระดับหนึ่งคือ มวยไทย อาหารไทย ซึ่งเรื่องนี้ภาคเอกชนเขาก็ทำกันอยู่ก่อนแล้ว ..ความคาดหวังต่อซอฟต์พาวเวอร์ของนายกฯอิ๊งค์อยู่ที่การใช้แนวคิดนี้สร้างเศรษฐกิจชุมชน หรือที่ตอนหาเสียงใช้ “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” จะมีการพัฒนาทักษะอะไรให้ประชาชนหรือไม่
กระแสการทำงานของนายกฯอิ๊งค์ โดนกลบมิด …ด้วยประเด็นทางสังคมที่กระหน่ำรัวเข้ามาแบบ “คนดีย์ล้มเป็นโดมิโน่”ตั้งแต่ราวปลายๆ เดือน ก.ย. จากรายการโหนกระแส ซึ่งน่าสนใจปรากฏการณ์อยู่ว่า สื่อเป็นตัวช่วยเหลือประชาชนในคดีฉ้อโกง โดยการหยิบประเด็นในอินเทอร์เนตมาขยายความได้เป็นลูกโซ ทำหน้าที่ช่วยประชาชนได้มากกว่าพวกชอบทำหน้าที่พิทักษ์คุณธรรม ทั้งพวกทนาย พวกนักร้องคนดีย์ ( มีคนถามถึงศรีสุวรรณ จรรยา ว่าคดีถึงไหนแล้ว ) น่าไว้ใจกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเมื่อถูกลากไส้ออกมา ก็พบว่า มีการแอบอ้างเจ้าหน้าที่ .. ทั้งหมดนี้คงต้องให้ความดีความชอบแก่ “บอสพอล”แห่งดิไอค่อน กรุ๊ป ไปหนึ่งกรุบ เนื่องจากเป็นผู้ปราบเหลือบมารในคราบคนดีครั้งใหญ่ ด้วยการอัดเทปอันสุดมหัศจรรย์ ตามที่ทนายความเปิดเผยคือ อัดที่มีคนดีย์ไปเจรจาปิดคดีดิไอค่อนได้ตั้ง 6 ชั่วโมง
เรื่องมันเริ่มมาจากกรณี “ทองแม่ตั๊ก”น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร ก่อน มีผู้ร้องเรียนว่า “ซื้อทองร้านนี้ไปทำไมขายไม่ได้” ที่ซื้อก็เช่นไอ้ไข่ทองคำ ปีเซี๊ยะทองคำ เขาสงสัยว่าเป็นทองปลอม ซึ่ง“แม่ตั๊ก”( เข้าใจว่า การเรียกแม่ หมายถึงผู้หญิงคนนั้นมีบุตรแล้ว ซึ่งเห็นได้จากหลายแม่ และแม่ตั๊กก็มีลูกแล้ว ) ก็ไปออกรายการโหนกระแสกับ“ผู้ไม่พอใจทองที่ซื้อ” …คือเขาก็ซื้ออารมณ์ชาวบ้าน ซื้อทองไว้เก็บเพื่อวันไหนราคามันขึ้นก็จะขาย ไม่ใช่เอามาตั้งโชว์ แต่ปรากฏว่า ได้ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำที่ขายได้หลักพันมา .. ในที่สุด“แม่ตั๊ก”ก็ประกาศรับซื้อคืน ให้ไปขายที่ร้านของนาง
แต่อนิจจาเอ๋ย..มีคนแจ้งความไปแล้วเรื่องโฆษณาเป็นเท็จ, ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็เลยโดนหมายจับไป กรณีนี้มีคนหมั่นไส้เยอะด้วย เพราะแม่ตั๊กเองก็ปากแจ๋วใช่ย่อย แถมยังชอบอวดเงินสดเป็นฟ่อนๆ อวดรถหรู อวดของแบรนด์เนม ..ยิ่งพอรู้ว่ามาจากการค้าขายของแบบโฆษณาเกินจริง กลายเป็นเบียดเบียนผู้อื่นก็มีแต่คนสาป
ก็คิดว่า น่าจะคดีแม่ตั๊กเป็นปฐมภูมิที่ทำให้เห็นว่า “ผู้บริโภครู้สึกถูกหลอกลวง ถ้าไปร้องเรียนเงียบๆ ก็แทบไม่มีประโยชน์” และอาจเป็นเรื่องตั้งต้นของการที่มี“นักตบทรัพย์ในคราบคนดี” ที่คอยจับตาบริษัทขายตรงอยู่..ซึ่งบริษัทแนวนี้มีโอกาส “มีเรื่อง” สูง ..จากนั้น จัดฉากว่าจะมี หรือให้มีผู้ไปร้องเรียนต่อรายการทีวี เพื่อให้เรื่องขยายใหญ่ ..แล้วก็ไปต่อรองเจ้าของกิจการว่า ถ้าไม่อยากให้บานปลายมากกว่านี้ ก็ให้จ่ายเงินมาเราจะเคลียร์ให้ เพราะเราคุยกับคนที่ร้องเรียนได้ ..นักตบทรัพย์พวกนี้อาศัยคราบนักร้อง หรือคราบคนดีชอบช่วยเหลือผู้ถูกฉ้อโกง ทำคดีให้ตัวเองดังๆ สักสองสามคดีก็หาเหยื่อได้ .. และเหยื่อรายต่อไปคือ บ.ดิไอค่อน ที่ขายอาหารเสริม
“เหยื่อ”ร้องเรียนว่า นี่คือธุรกิจขายตรง ที่แม่ข่ายหลอกให้เปิดบิลหลักแสนเพื่อเป็นแม่ค้าขายตรงคนต่อไป ได้กำไรมากกว่าซื้อสินค้าบริโภค แล้วอธิบายเรื่องการต่อขาว่า ยิ่งหา“ขา”มาต่อลงล่างได้เยอะเท่าไร ( คือคนแรกหาขาของตัวเอง และขาของคนแรกหาขาของตัวเองต่อ กลายเป็นดันคนแรกสูงขึ้น ) กำไรจากสินค้าก็เพิ่มขึ้นไปยังยอดพิระมิด สุดท้ายก็ได้ “ใช้เงินทำงาน” คือนอนเฉยๆก็ได้เงิน ซึ่งพวกหลอกลงทุนขายตรงนี่จิตวิทยาสูง และมักหลอกคนแก่
ก็มีข่าวทยอยออกมาเป็นระยะก่อนว่า คนโน้นคนนี้เสียหายจากการไปลงทุนเป็น “นักธุรกิจดิไอค่อน” จนกระทั่งตัวเจ้าของบริษัท“บอสพอล วรัตน์พล วรัทย์วรกุล”มาเปิดหน้าร้องไห้ออกทีวีว่า “ไม่รู้ว่าสู้กับอะไรอยู่” และตั้งศูนย์เยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งไม่รู้เยียวยาไปกี่มากกี่น้อยเท่าไร เพราะสองสามวันหลังออกรายการ บอสพอลและพวกโดนรวบเข้าตะราง ในข้อหาอาทิ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน แชร์ลูกโซ่ ผิด พ.ร.บ.ขายตรง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ..แต่งานนี้ หลายคนที่เห็นภาพนาทีพาบอสพอลไปส่งศาล ก็ได้ meme อมยิ้มของบอสใหญ่ดิไอค่อนไว้เล่นกันถ้วนหน้า ว่า “พอลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และลากไส้ขบวนการตบทรัพย์ตามมา บางคนใส่ “หน้ากากคนดี” อยู่ด้วยซ้ำ
เรื่องนี้สาวไปถึงระดับนักการเมือง ซึ่งว่าเป็นหนึ่งในคนที่เจรจากับบอสพอล ถูกตั้งคำถามว่า “หาเงินให้ใคร ? เกี่ยวพันกับการเมืองหรือไม่ ?” แล้วก็ยังมีทนายแบรนด์เนม ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ถูกลากมาว่า “อาจเอี่ยวกับการตบทรัพย์” แถมอยู่ๆ ทนายตั้มก็งานเข้าด้วยคำว่า “ได้รับทรัพย์โดยเสน่หา” ไปมีคดีกับสาวใหญ่เข้าอีก ซึ่งเขาจะเอาถึงขั้น “ทำเป็นขบวนการ”… ตอนนี้ก็เลยอีรุงตุงนังกันใหญ่ ..ขณะที่ “ตัวแม่” เจ๊พัช กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ก็ถูกสาวไปว่า ตบทรัพย์บอสพอล และอาจจับมือร่วมกับดารา “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” อีก พอเรื่องทำท่าจะเอี่ยวกับฟิล์ม รัฐภูมิขึ้นมา ก็มีคนไปร้องเรียนรายการเดิมเรื่องถูกหลอกลงทุน ซึ่งก็รอดูทางดาราหนุ่มแก้ต่าง รอดูเจ๊พัชสู้คดี
และตอนนี้ ท่าทาง“พวกที่ทำกันเป็นทีม” เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ แล้วว่าเครื่องดักฟังอยู่ไหนบ้าง .. หรือทางบอสพอลจะเล่นงานคืนหรือไม่ที่ไปแจ้งความฉ้อโกง ทั้งที่ตัวเองรับของไปขายแล้วแต่มาแอ๊บเป็นเจ้าทุกข์ หรือบางคนมาแอ๊บเป็นเจ้าทุกข์ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ซึ่งไม่รู้ว่า ที่ไปทำแบบนั้นเพราะคิดเองหรือแรงยุใคร แต่อย่างว่า “พอลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”อาจโดนกรรโชกทรัพย์ร่วม ซึ่งน่าจะเกือบๆ ร้อยคน
ระหว่างทางของการตามติดมหากาพย์ตบทรัพย์ ก็มีคดีฉ้อโกงดังขึ้นมาอีก คือ ข้อกล่าวหา “ตี่ลี่ฮ้วงจุ้ย”หรือนายธนวันต์ จิรเจริญเวศน์ ลวงให้ผู้สูงอายุทำพิธีปรับฮวงจุ้ยบ้าน โรยพระผงกระดูกผี ซื้อสิงห์ หินแกะสลักศักดิ์นำเข้าจากเมืองจีน ของศิริมงคลอะไรต่างๆ ฯลฯ แล้วแต่จะอ้าง รวมค่าเสียหายนับล้าน โดยเหยื่อรายแรก 38 ล้านบาทรวมสูญเงิน 66 ล้านบาท จากนั้นมีผู้ที่เสียหายจากการถูกหลอกทยอยเข้าร้องเรียนที่กองปราบปรามต่อเนื่อง จนถูกจับกุม
ความวัวไม่ทันหาย..ก็มีประเด็นใหม่ถูกจุดขึ้นมาอีก คือเรื่องแบรนด์อาหารเสริมอมาโด ของอดีตดารา “เชน ธนา” หรือตอนนี้เปลี่ยนชื่อแล้วเป็น ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ก็ถูกแจ้งความฉ้อโกง เรื่องรับสินค้าคอลลาเจนมาแล้วไม่จ่ายให้คนนำเข้า รอดูเขาสู้คดีกันไป แต่มีผู้มองโลกในแง่ร้ายเล็งไว้แล้วว่า ถ้าไม่มีอะไรจริงทำไมรีบตัดสายโทรศัพท์ทิ้งกลางรายการ ..ก็มองโลกดีๆ ว่า เขาอาจรีบไปรายงานตัวตามหมายเรียกก็ได้ ไม่ไปโดนหมายจับซวยอีก
นับว่าเป็นปลายปีที่เดือดจัดจริงๆ เพราะไม่รู้ว่า จะ “ลากไส้คนดีย์” ได้อีกกี่คน ( และบางคน พอโดนเล่นงานก็มีหลายคนรุมสมน้ำหน้า ค่าที่เฟียสนัก ) ตอนนี้เริ่มกรุ่นๆ ว่า “จะมีการเปิดรายใหม่” เป็นหมอใหญ่ที่ดังจากเรื่องวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งก็มีข่าวมาสักพักแล้วแต่จะขึ้นหน้าสื่อได้ต่อเมื่อมีความชัดเจน เช่น มีผู้เสียหายแจ้งความ … เรื่องพวกนี้ทำให้เราต้องระวังคนเฒ่าคนแก่มากขึ้น เพราะมีโอกาสตกเป็นเหยื่อจิ้งจอกสังคมง่าย .. บางคนดูทีวีทั้งวัน ชื่นชมพิธีกร ดารา หรือโดนสินค้าขายตรงที่ออกโฆษณารัวๆ ในทีวี ก็หลงเชื่อง่าย
ก่อนวันสิ้นปี อยากให้กระชากหน้ากากคนดีเพิ่มได้อีก โดยเฉพาะอยากให้โยงให้เห็นไปถึงว่า “พวกนี้มีส่วนในการให้เงินนักการเมือง ข้าราชการ หรือฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่” มันตลกร้ายดีที่เรื่องเด่นแห่งปี..การกระชากหน้ากากคนดี.. ไม่ใช่ผลงานรัฐบาลแต่เป็นผลงานรายการโหนกระแส ผลงานสื่ออื่นๆ ที่ตามติด ซึ่งสาวกันจริงๆ พวกหลอกลวงต้มตุ๋นในประเทศเรามีเยอะ หากินกับความฝันของคน รัฐบาลลองคิดว่าจะมีแอคชั่นอะไรดูบ้างก็ดี ..แต่บางคนก็เหน็บแนมมาว่า จะไปหวังอะไรมาก กะอีแค่พระประหลาดๆ สำนักพุทธยังจัดการอะไรไม่ได้
เอาเป็นว่า วันนี้พึ่งพา “สื่อที่แจ้ง” คือสื่อที่มีสังกัด กับ “สื่อที่ลับ” คือพวกเพจเฟซบุ๊กอะไรต่างๆ ที่หาข้อมูลวงในมาแชร์ และตำรวจเด้งรับเร็วก็เป็นพัฒนาการที่ดีในบ้านเรา.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”