ต้องยอมรับว่าในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา แวดวงข่าวเศรษฐกิจถือว่าร้อนแรง ไม่แพ้ข่าวในแวดวงการเมืองหรือข่าวอื่นใด ด้วยเพราะเรื่องราวของเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องที่กระทบกับปากท้อง กระทบกับช่องทางการทำมาหากินของคนไทย กระทบกับความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ!!
ช็อก!โยนหินขึ้นแวต 15%
เขย่าวงการเศรษฐกิจส่งท้ายปี เมื่อขุนคลัง ประกาศโยนหินถามทาง เตรียมยกเครื่อง ทั้งลด ทั้งขึ้นเก็บภาษีประเทศยกใหญ่ จนสร้างความกังวลแก่แวดวงเศรษฐกิจ ตั้งแต่นักธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนไปทั่วทุกระแหง เพราะรัฐบาลต้องปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้เป็นไปตามกระแสโลกที่เรียกเก็บการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลระดับโลกขั้นต่ำ หรือโกลบอล มินิมัม แท็กซ์ ซึ่งเรื่องนี้ผ่าน ครม.ไปแล้วและจะออกประกาศในต้นปีหน้า ก่อนเริ่มเก็บเงินจากนิติบุคคลข้ามชาติ 15% โดยจะมีเงินเข้าประเทศตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจมีการพิจารณาลดภาษีจาก 35% เหลือ 15% สุดท้ายคือภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต โดยขุนคลังยกตัวอย่าง ทั่วโลกมีการเก็บในอัตรา 15-25% ในขณะที่ไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มระดับต่ำเพียง 7% จากอัตราที่กำหนดไว้ 10% เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะกระแสข่าวที่ออกมาว่าจะเก็บมากถึง 15% ทำให้เก้าอี้รัฐบาลถูกโจมตีไม่น้อย ทำให้นายกฯอิ๊งค์ ต้องเรียกทีมเศรษฐกิจมาหารือก่อนโพสต์เฟซบุ๊กสยบข่าว

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อดูฐานะการคลัง สัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วง สวนทางกับภาระดอกเบี้ยเทียบกับรายได้สุทธิที่ขยับขึ้นเร็วมากซึ่งมีผลต่อการจัดเรตติ้งของประเทศ ซึ่งก็ต้องมารอดูว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะขยับภาษีชนิดใดบ้าง
ทรัมป์มาธุรกิจไทยกระเทือน
ในช่วงปี 67 สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยและทั่วโลกยังฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่าที่ควร ที่น่ากังวลคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มาจากภาคการผลิตที่ซบเซา ส่งผลต่อการค้าโลก รวมถึงผลกระทบการส่งออกสินค้าของไทยในช่วงต้นปี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ทั้งการกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ช้าลง

ด้านอัตราเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระตุ้นให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่เกิดวิกฤติ อาจลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญ!! ในเวลานี้เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณถึงความเปราะบางมากขึ้น และต้องเจอกับความท้าทายค่อนข้างมาก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ามานั่งประธานาธิบดีสหรัฐ และมุ่งเน้นนโยบายการค้า ซึ่งอาจทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกลับมาปะทุเดือดขึ้นอีก และแน่นอนกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญยังลามมาถึงเศรษฐกิจของไทยอีกด้วย ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดของด้านผู้ผลิต ผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะเพื่อการส่งออก ซึ่งต่างพากันให้ภาคเอกชนหวาดระแวง เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่า ทรัมป์ในยุค 2.0 นี้จะเกิดนโยบายอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งที่แน่นอนจะมีเรื่องกีดกันการค้า การเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้า ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย และคาดการณ์ว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ เซมิคอนดักเตอร์ และยางล้อ เป็นต้น ทั้งหมดคงต้องติดตามกันต่อไป
ยอดขายรถดิ่งสุดรอบ15ปี
มาอีกเรื่องที่แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คนไทยหรือผู้บริโภคได้ประโยชน์ แต่ก็ทำลายอุตสาหรรมของประเทศ ทั้งเรื่องการเข้ามาบุกตลาดและดัมพ์ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกร ที่แม้ว่าไทยจะมีเป้าหมายเป็นฮับของการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของโลก จึงตั้งเป้าดึงผู้ผลิตเข้ามาโดยให้สิทธิประโยชน์มากมายรวมไปถึงการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป สุดท้ายผู้บริโภคจ่ายเงินน้อยลง ได้รถทางเลือกใหม่ที่ช่วยรักษ์โลก แต่บรรดาค่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันต้องอ่วมอรทัย ยอดขายรถฮวบ จนบางรายถึงกับต้องเลิกผลิตในประเทศแล้วหันไปนำเข้าแทน หรือดีลเลอร์บางค่ายต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นตัวแทนของรถยนต์อีวีแทนก็มี ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ เหลือเพียงแค่ 1.5 ล้านคันเท่านั้น และเน้นไปที่่การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศเหลือเพียง 450,000 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบัน ที่อาจลดลงต่ำสุดในรอบ 15 ปี และเป็นการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 40 ปี
อย่างไรก็ตามปัญหาของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนี้ ไม่ใช่มีปัญหาแค่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายพลังงานเท่านั้น แต่ในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัว ซึ่งอาจส่งผลให้สถาบันการเงินผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อบ้าง แต่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดของราคาสินทรัพย์ (รถยนต์) ในอนาคต, ความเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้, รวมถึงข้อกำหนดและมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ทำให้สถาบันการเงินคุมเข้มเรื่องการปล่อยสินเชื่อ

วิกฤติที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบระยะสั้นจากภาวะเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องเร่งปรับตัวและหาทางรับมือให้ได้
รอยร้าวรัฐบาล-แบงก์ชาติ
ขณะที่ข่าวฮอตฮิตไม่แพ้ข่าวใด แม้ไม่ได้แทงตรงลงมาที่ปากท้องของคนไทยทั่วประเทศก็ตาม เพราะเป็นเรื่องของคนที่จะมาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเงินไม่น้อยด้วยเช่นกัน โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่รัฐบาลส่ง “เดอะโต้ง–กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ที่มากด้วยความรู้ความสามารถเฉพาะด้านทั้งด้านการคลัง การเงิน ตลาดทุน เข้ามาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แม้บอกว่าเป็นไปตามกระบวนการสรรหา แต่ในความจริงแล้วทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าฟากการเมืองส่งมา ก็เป็นเรื่องปกติที่คนแบงก์ชาติย่อมออกมาต่อต้าน ด้วยเพราะกลัวว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยเฉพาะตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างต้องเริ่มต้นกลับไปนับหนึ่งใหม่กับการสรรหาประธานบอร์ดคนใหม่ โดยตลอดทั้งปีมะโรงความขัดแย้งระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลก็เกิดขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตลอดจนมาถึงยุครัฐบาลอิ๊งค์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีปัญหาความขัดแย้งกับแบงก์ชาติ โดยเฉพาะตัวนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน เนื่องจากความเห็นต่างของนโยบายในหลายเรื่อง
ทั้งการไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล เพราะไม่ต้องการให้กู้เงินมาแจกเงินดิจิทัล จนรัฐบาลปรับเปลี่ยนรูปแบบแหล่งที่มาของเงิน จากการกู้ 500,000 ล้านบาท เป็นใช้เงินงบประมาณปี 67, งบประมาณปี 68 และเงินสภาพคล่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ถึงขั้นแบงก์ชาติส่งหนังสือถึง ครม. 5 หน้า ย้ำว่าไม่ได้มีปัญหากับโครงการ แต่ควรแจกเฉพาะกลุ่มอย่างคนรายได้น้อยที่ใช้เงินน้อยกว่ามาก และเงิน 500,000 ล้านบาท สามารถนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อีกหลายโครงการ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องดอกเบี้ยที่รัฐบาลอยากให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย เพราะจะได้ช่วยเหลือประชาชน ต้นทุนธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และรายได้ไม่ฟื้นตัว เพื่อให้ลดภาระดอกเบี้ยแก่ครัวเรือนด้วย ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลของนายเศรษฐา จะเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยเพียงใด แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยังใจแข็งไม่ยอมลดตามคำขอ แต่สุดท้ายก็ยอมลดลง 0.25% ตามความเห็นของ กนง. ในยุคนายกฯ อิ๊งค์ และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลังในช่วงเวลานี้ ขณะที่การแจกเงินเกษตรกรชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งแบงก์ชาติไม่เคยเห็นด้วย เพราะเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมจงใจผิด ๆ หรือมอรัลฮัดซาร์ดกันอีกด้วย
จากเงินดิจิทัล…สู่เงินสด
ข่าวเด่นข่าวดังประจำปี 67 ที่คนไทย 50 ล้านคนรอคอยและจำไม่ลืม คงหนีไม่พ้นเรื่องของการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ที่แปรเปลี่ยนจากเงินไฮเทคในยุครัฐบาลเศรษฐา กลายมาเป็นการแจกเงินสดแทนคนละ 10,000 บาท ที่กว่าจะคลอดก็เผชิญมรสุม เผชิญแรงเสียดทานจนหืดจับเพราะรัฐบาลไม่มีเงิน แต่ไปสัญญากับคะแนนเสียงไว้แล้วก็ต้องดั้นด้นผลักดันกันออกมาให้ได้ ล่าสุด…ก็ผ่านไปแล้วครึ่งทาง เพราะนโยบายหาเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งช่วงแรกยืนยันหนักแน่น จะแจกให้ทุกคนอายุ 16 ปีขึ้นไปกว่า 50 ล้านคน ใช้งบกว่า 5 แสนล้านบาท แต่ทำไปทำมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าโครงการนี้กลับผลุบ ๆ โผล่ ๆ ถูกแรงต้านอย่างหนักหน่วงมาก ทั้งจากนักวิชาการ ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ทั้งจากสถาบันวิจัยต่าง ๆ ที่กดดันให้ยกเลิก หรือแจกครึ่งเดียว
แถมเต็มไปด้วยสารพัดปัญหาในขั้นปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจัดทำระบบเพย์เมนต์ การจัดหางบประมาณ ที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินจากไหน 5 แสนล้านบาท ว้าวุ่นไปทั้งการหากู้ การตั้งงบกลาง เพิ่มงบใหม่ เลยเถิดไปถึงการดึงเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มาปะตูดให้ครบ ร้อนไปถึงกฤษฎีกาต้องตีความทำได้หรือไม่ได้ แต่ในที่สุดรัฐบาลก็สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส อาศัยสถานการณ์ที่ เศรษฐา ทวีสิน ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มาปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการดิจิทัล วอลเล็ตใหม่ ให้เดินต่อได้ โดยไม่เหลือคราบไคลเดิม โดยปรับรูปแบบให้ทยอยแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ตามข้อเสนอของแบงก์ชาติเป็นเงินสด ๆ 10,000 บาท ให้ 14.5 ล้านคน และในเฟส 2 แจกเงินสดอีก 10,000 บาท ให้ผู้สูงอายุ 4 ล้านคน ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือภายในเดือน ม.ค.ปีหน้า

อย่างไรก็ดี การกลายพันธุ์ของ ดิจิทัล วอลเล็ต ก็ยังไม่สิ้นสุดทีเดียว เพราะยังเหลือคนอีกกลุ่มใหญ่กว่า 20 ล้านคน ที่มีการลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐไปแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลออกมา ทำให้หลังจากนี้จะต้องติดตามดูฉากจบของดิจิทัลวอลเล็ต จะออกมาหน้าตาอย่างไร และเงื่อนไขจะปรับเปลี่ยนอีกหรือไม่ เพราะแม้ปัจจุบัน รัฐบาลบอกว่าโครงการเดินหน้าได้แน่ โดยได้กันงบกลางปี 68 ไว้แล้ว 1.8 แสนล้านไว้แล้ว แต่ก็ต้องมาลุ้นกันว่า สุดท้ายแล้ว จะจ่ายได้เมื่อใดกันแน่ ที่สำคัญ คือ การพัฒนาระบบการใช้จ่ายเงินโอเพน ลูฟ ของแอปพลิเคชันทางรัฐ ที่ขณะนี้ยังเงียบเชียบไม่รู้ว่าดีจีเอทำไปถึงไหน แล้วจะทดสอบระบบได้เมื่อใด หากไม่สำเร็จจะเป็นปัญหาแน่นอน
สินค้าจีนบุกถล่มตลาด
ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดสุด คือ ธุรกิจค้าปลีกพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย ส่วนหนึ่งนอกจากเป็นผลจากกำลังซื้อที่ซบเซาแล้ว อีกส่วนก็มาจากการถูกสินค้าราคาถูก และไม่ได้มาตรฐานจากจีนเข้ามาตีตลาด เห็นได้ชัดจากตัวเลขดุลการค้าไทย-จีนช่วงที่ผ่านมา ไทยขาดดุลกับจีนมหาศาลต่อเนื่องหลายปีติด โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ในปี 64 การค้าไทย-จีน มูลค่ารวม 3.3 ล้านล้านบาท แต่ไทยขาดดุลการค้าจีน 954,194 ล้านบาท, ปี 65 การค้ารวม 3.67 ล้านล้านบาท แต่ไทยขาดดุลจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.29 ล้านล้านบาท และปี 66 การค้าไทย-จีน มีมูลค่ารวม 3.64 ล้านล้านบาท แต่ไทยกลับขาดดุลถึง 1.29 ล้านล้านบาท
ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร ทุกวันนี้เห็นได้ชัดสินค้าจีนบุกเข้ามาทุกหัวระแหง ตั้งร้านขาย 10-20 บาท หรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็มีเกลื่อน กดดันให้รัฐบาลต้องหาทางป้องกันแก้ไขด่วน เพราะหากไม่ทำอะไร สินค้าจีนจะถล่มจนคนค้าขาย โรงงานเล็กใหญ่ตายหมด ในที่สุดแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการ 16 หน่วยงานขึ้นมาสกัดสินค้าห่วยจากจีนเข้าไทย แต่ทว่ามาตรการที่ออกมาก็ยังมีไม่อะไรใหม่ เพียงแต่นำมาตรการเก่ามาใช้ให้เข้มงวดเท่านั้น เช่น กรมศุลกากรเปิดเอกซเรย์สินค้าที่ต้องสงสัยแบบ 100% รวมถึงขยายเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในสินค้าถูกประเภท ทุกราคาตั้งแต่บาทแรก แบบไม่มียกเว้นอีก
สำหรับผลการใช้กฎหมายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แม้ทำให้นำเข้าสินค้าจากจีนลดลง 20% และจับกุมสินค้านำเข้าไม่มีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังเบาใจไม่ได้ เพราะตัวเลขการขาดดุลการค้า ไทย-จีน ยังคงพุ่งสูงอยู่ อีกทั้งรัฐบาลเองก็ไม่กล้าทำอะไรมาก เพราะจีนเป็นพันธมิตรเศรษฐกิจใหญ่ของไทย ทั้งส่งออก นำเข้าผลไม้ปีละหลายแสนล้าน แถมมีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 7-8 ล้านคน หากออกมาตรการอะไรแข็งกร้าวออกมา ถูกจีนตอบโต้กลับจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น ภาระนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้าจะต้องปรับตัว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

เรียกได้ว่า…ปีมะโรงที่กำลังจะพ้นผ่านในอีกไม่กี่วันนับจากนี้… ก็เต็มกลืนไปด้วยสารพัดข่าวคราวทางด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ใจหายใจคว่ำไม่น้อย แบบชนิดที่ว่า…เป็นปีที่ลืมยากเสียจริง!!.