หลังจากพยายามฉุดกระชากลากถู จนพาโครงการดิจิทัล วอลเล็ต รอดได้แบบฉิวเฉียด มาล่าสุด รัฐบาลของนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ก็ไม่มีพัก ไม่มีแผ่ว รีบดันโปรเจกต์เผือกร้อนชิ้นใหม่ต่อทันที โดยที่ประชุม ครม.สัปดาห์ที่ผ่านมา มีมติลุยไฟเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นอีกนโยบายเรือธงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนฉ่า วิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดทั้งสัปดาห์
ตั้ง พ.ร.บ.ปั้นเศรษฐกิจ
โฟกัสใหญ่ของการผลักดัน พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ในเบื้องหน้ารัฐบาลได้ชูเป้าหมายใหญ่เป็นผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจต่อประเทศ โดยเฉพาะการก่อให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ามหาศาล อีกทั้งเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย ฉุดจากใต้ดินขึ้นมาบนดินได้อีกด้วย ซึ่งมีการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไว้น่าสนใจหลายตัว อาทิ การสร้างรายได้การท่องเที่ยว 1.1-2.3 แสนล้านบาทต่อปี เกิดการลงทุนตรง 1 แสนล้านบาท การเพิ่มค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวจาก 44,000 บาท เป็น 66,000 บาทต่อคนต่อทริป เป็นต้น
ในร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ที่ผ่านมาความเห็นชอบจาก ครม.นี้ มีสาระสำคัญ ประกอบด้วย 9 หมวด 65 มาตรา โดยเริ่มจากกำหนดให้ สถานบันเทิงครบวงจร ต้องประกอบไปด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.นี้อย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน ได้แก่ 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3. ร้านอาหาร ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ หรือบาร์ 4.สนามกีฬา 5.ยอชท์และครุยซิ่งคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7. สระว่ายน้ำและสวนน้ำ 8.สวนสนุก 9.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้าโอทอป และ 10.กิจการอื่น ๆ

เปิดสาระร่างกฎหมาย
นอกจากนี้ ได้แบ่งโครงสร้างกำกับดูแล 3 ส่วน ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรชุดใหญ่สุด มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมประกอบด้วยกรรมการจากรัฐมนตรี และนักวิชาการ ต่อมาเป็นคณะกรรมการบริหาร ซึ่งประกอบไปด้วย ข้าราชการระดับสูง ปลัดกระทรวง ปปง. ป.ป.ส. ดีเอสไอ ตำรวจ และส่วนที่สาม เป็นสำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร
ขณะเดียวกัน ได้กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมในการประกอบธุรกิจ ไว้ดังนี้ การขอรับใบอนุญาตครั้งละ 100,000 บาท ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตครั้งแรกฉบับละ 5,000 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่ออายุ ฉบับละ 5,000 ล้านบาท แบบรายปีใบละ 1,000 ล้านบาท ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 100,000 บาท และค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของคนไทยครั้งละ 5,000 บาท เป็นต้น
ภาษี-ค่าต๋ง 4 หมื่นลบ.
ทำให้คาดว่า รัฐบาลจะมีรายได้จาก เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ทั้งส่วนภาษี และค่าธรรมเนียมสูงสุดถึงปีละ 40,000 ล้านบาท เช่น รายได้ภาษีจากกิจการอื่น ๆ เช่น โรงแรม 5 ดาว สวนสนุก คอนเสิร์ตรวมกว่า 35,000 ล้านบาทต่อปี รายได้จากกิจการกาสิโน เช่น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปี ภาษีการเล่นพนันขั้นต่ำ 3,200 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมการเข้ากาสิโนคนไทย 3,700 ล้านบาท
สำหรับรูปแบบดำเนินการ ผู้รับใบอนุญาตต้องเป็นบริษัทหรือบริษัทมหาชน ซึ่งจดทะเบียนในไทย และมีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท มีระยะเวลาใบอนุญาต 30 ปี และต่ออายุได้คราวละไม่เกิน 10 ปี รวมถึงห้ามไม่ให้มีการเล่นพนันออนไลน์ ตลอดจนห้ามเชิญชวน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้คนมาเล่นการพนัน ส่วนรายละเอียดอื่นเป็นอำนาจของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้กำหนดอีกครั้ง

ยักษ์ใหญ่ 6 รายรุมทึ้ง
พอเห็นภาพกว้าง ๆ ของกฎหมายแล้ว ขณะที่รายละเอียด ที่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญยังไม่เห็นเด่นชัดนัก เช่น เรื่องพื้นที่ ทำเลที่ตั้ง จำนวนกาสิโนที่จะได้รับอนุญาต ตลอดจนรายละเอียด สเปกการคัดเลือก การสรรหาเอกชนเข้ามาลงทุน รวมถึงอำนาจในการออกใบอนุญาตต่าง ๆ ที่ถูกยกไปให้เป็นอำนาจของบอร์ดชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทั้งหมด จึงทำเอาหลายคนเป็นห่วงว่า อาจเกิดความไม่โปร่งใสขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายยังไม่ได้ระบุชัด แต่เค้าโครงของโครงการสถานบันเทิงครบวงจร ไม่ได้ถึงกับเริ่มต้นจากศูนย์เสียทีเดียว เพราะล่าสุด นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า เวลานี้มีนักลงทุนธุรกิจสถานบันเทิงระดับโลก 6-7 รายแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่ารายละ 1 แสนล้านบาท มองเห็นศักยภาพของไทย ที่มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งแหล่งท่องเที่ยว การคมนาคม นักท่องเที่ยวที่เติบโตทุกปี
ที่ดินเมืองใหญ่ 300 ไร่
ส่วนเรื่องทำเลที่ตั้ง แม้จะยังไม่ฟันธงชัดนัก แต่ในใจของรัฐบาลก็มีสเปกคร่าว ๆ ในใจแล้ว เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนที่ดินขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 300 ไร่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นบิ๊กโปรเจกต์ ท่องเที่ยวใหญ่ของภูมิภาค โดยไม่ได้มีแค่กาสิโน แต่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว มีทั้งโรงแรม 4,000-5,000 ห้อง สวนสนุกขนาดใหญ่ สวนน้ำ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โดมจัดคอนเสิร์ต สนามกีฬา และกาสิโนมีสัดส่วนแค่ 5% เท่านั้น
ที่สำคัญ!! ในการเลือกทำเลต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งการคมนาคมขนส่ง สนามบิน รถไฟ และเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวรู้จักอยู่แล้ว โดยจะไม่เน้นการออกไปสร้างเมืองใหม่เพื่อทำกาสิโน คอมเพล็กซ์ เหมือนลาสเวกัส ที่เริ่มต้นจากการไปสร้างบนทะเลทราย เพราะจะใช้เวลาสร้างนานไป เสี่ยงขาดทุนสูง ซึ่งไม่ดึงดูดภาคเอกชนเข้ามาลงทุน อีกทั้งตัวรัฐบาลเอง ก็ไม่มีเงินไปลงทุนสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้ด้วย ดังนั้น จึงขีดเส้นล้อมวงแล้ว ก็เหลืออีกไม่กี่จังหวัด อาทิ กรุงเทพฯ ปริมณฑล เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หรือแม้แต่ภาคอีสานก็ยังได้ลุ้น
เล็งที่ราชพัสดุ-ที่รถไฟ
อย่างไรก็ตาม ข้อดีอย่างหนึ่งที่รัฐบาลยืนยันออกมา คือ การคัดเลือกพื้นที่ต่าง ๆ ต้องเป็นที่ดินของรัฐบาลเท่านั้น อาทิ ที่ดินรถไฟ ที่ดินที่ราชพัสดุ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ อย่าง สถานีแม่น้ำของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) หรือที่ราชพัสดุย่านบางพลี หนองจอก ตลอดจนที่ดินใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โดยรัฐบาลไม่อนุญาตให้ภาคเอกชนนำเสนอที่ดินเพื่อมาสร้างสถานบันเทิงครบวงจรเด็ดขาด เพื่อป้องกันวงจรการเก็งกำไรที่ดิน หรือการกว้านซื้อที่ดินจากนายทุนไว้ล่วงหน้า จนเกิดความไม่โปร่งใสได้
สำหรับรูปแบบการลงทุน และเสนอผู้ชนะโครงการจะมีการเปิดประมูล ลักษณะ “อินเตอร์เนชันแนล บิด” โดยให้นักลงทุนจากทั่วโลก รวมถึงเจ้าสัวไทย เข้ามารวมกลุ่มเพื่อเปิดยื่นซองประมูลได้ ใครให้สิทธิประโยชน์ภาครัฐสูงสุด เช่น มีเงินลงทุนสูง เกิดการจ้างงานคนไทยจำนวนมาก ใช้โลคอล คอนเทนต์ของไทย ก็มีสิทธิชนะการประมูล เป็นต้น ส่วนกรณีที่ห่วงว่าจะมีการล็อกสเปกแบ่งเค้กให้กับเจ้าสัวกลุ่มต่าง ๆ นั้น เลขาฯ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะเจ้าสัวคนไทยไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจสถานบันเทิง อาจทำได้ก็แค่ไปรวมกลุ่มเป็นกิจการร่วมค้า หรือคอนโซเตียม แล้วมายื่นประมูลเท่านั้น

ประเดิมเมืองการบิน-ท่าเรือ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ หลายฝ่ายต่างออกมาฟันธงให้เห็นกันชัด ๆ ว่า อย่างน้อยมีพื้นที่ 2 แห่ง ที่ได้เตรียมการรองรับโครงการนี้ไว้แล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองการบิน ที่ภาคเอกชนที่ได้รับสัมปทานไปแล้วก็มีความพร้อม เพียงแต่รอให้กฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์บรรลุเป้าหมาย ทำคลอดออกมาได้ การขอใบอนุญาตก็พร้อมดำเนินการทันที เพราะเตรียมการล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ที่ก็มีความเหมาะเหม็ง ส่วนใครจะได้สัมปทานตรงนี้ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป
ส่องไทม์ไลน์กฎหมาย
สำหรับไทม์ไลน์ของโครงการสถานบันเทิงครบวงจร รัฐบาลตั้งไว้ดังนี้ หลังจาก ครม.เห็นชอบหลักการแล้ว จะนำเข้ากฤษฎีกาตรวจสอบรายละเอียดเนื้อหา 1-2 เดือน จากนั้นจะเร่งนำเข้าพิจารณาในสภาสมัยนี้ ช่วงเดือน มี.ค.นี้ทันที คาดว่าใช้เวลาพิจารณาอีก 7-9 เดือน และเชื่อมั่นว่ากฎหมายจะเสร็จทันสมัยการประชุมปี 68 และเริ่มออกมาบังคับใช้ได้ช่วงต้นปี 69
จากนั้นจะใช้เวลาตั้งคณะกรรมการนโยบายชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการชุดเล็กและสำนักงานกำกับดูแลได้ใน 3 เดือน เพื่อมีการประชุมพิจารณารายละเอียด
ต่าง ๆ ทั้งทำเลที่ตั้ง จำนวนใบอนุญาต อัตราค่าบริการ หรือทีโออาร์ในการเปิดให้ยื่นประมูลการลงทุนตลอดทั้งปี 69 และตามเป้าหมายจะเริ่มเห็นการลงทุนตอกเสาเข็มโครงการฯได้ช่วงปี 70 ทันสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จากนั้นจะทยอยเปิดให้บริการเป็นเฟส ๆ เฟสแรกเริ่มได้ในปี 72 ตัดหน้าเกาะกาสิโน ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น
ฝ่าด่านการเมือง-สังคม
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่รัฐบาลจะมองข้ามช็อตไปไกล สิ่งสำคัญอันดับแรก ณ ตอนนี้ คือความพยายามผลักดันกฎหมายให้ผ่านสภาเสียก่อน ซึ่งต้องฝ่าด่านหินจากภาคการเมือง ทั้งพรรคประชาชาติ ที่ยืนกรานชัดว่าขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม หรือฝ่ายค้าน พรรคประชาชนที่ห่วงว่าจะเป็นแหล่งฟอกเงิน แหล่งอบายมุข ตลอดจนภาคสังคม เอ็นจีโอต่าง ๆ ที่กังวลปัญหาด้านสังคม อาชญากรรม โสเภณี เป็นแหล่งเสื่อมโทรมของประเทศตามมา เพราะแม้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นมหาศาล แต่ต้นทุนทางสังคมที่เสียไปก็ประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน!!
ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเพื่อนบ้านที่มีการอนุญาตเปิดบ่อนถูกกฎหมาย ตอนนี้ ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นพื้นที่ซ่องสุมอบายมุข และอาชญากรรม เป็นแหล่งที่พักอาศัยของทุนสีดำ สีเทา แก๊ง
คอลเซ็นเตอร์ หรือแม้แต่ ลาสเวกัส สถานบันเทิงระดับโลก ในสหรัฐอเมริกา ก็พบว่ามีปัญหาอาชญากรรมสูงกว่าพื้นที่ปกติในสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังห่วงว่า โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการพนันใต้ดิน เพราะการกำหนดค่าแรกเข้าที่ 5,000 บาทต่อครั้ง ยิ่งผลักให้คนรายได้น้อย กลับไปเล่นบ่อนเถื่อนผิดกฎหมาย การพนันใต้ดินแทน
ปัญหาและเสียงคัดค้านเหล่านี้ ถือเป็นด่านแรกที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับสังคมให้ได้ เนื่องจากในกฎหมายฉบับนี้ ยังไม่ได้ระบุถึงเรื่องการดูแลปัญหาเชิงสังคมมากนัก อีกทั้งการนำรายได้จากการเปิดบ่อน ไม่ได้พูดถึงชัดเจนว่า ถูกนำไปใช้ช่วยเหลือเยียวยา
ผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร ซึ่งรัฐบาลควรคิดตกผลึกให้ดีเสียก่อน เพราะก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นแล้ว อย่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ที่มีการไตร่ตรองไม่รอบคอบจนสร้างความวุ่นวายในสังคมตามมา
พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร!!! เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเองว่าจะเดินหน้าในช่วง 2 ปีสุดท้ายของการบริหารประเทศไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ? หากทำสำเร็จ!! โดยปราศจากข้อกังขา เป็นไปด้วยความโปร่งใส ก็เพิ่มแต้มต่อให้รัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ด้วย แต่…ในทางกลับกันหากเข็นไม่ผ่านหรือผ่านแล้วเต็มไปด้วยมลทิน ก็เท่ากับว่าเป็นระเบิดลูกใหญ่สำหรับรัฐบาลเช่นกัน!!.