ใครตามการเมืองช่วงนี้ ก็คงเห็นตรงกันว่า “พรรคไทยสร้างไทย” ออกตัวแรงเหลือเกิน  อย่างแคมเปญล่าสุดที่เปิดเกมให้ประชาชนเข้าชื่อฟ้องร้อง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  ยกปมเรื่องการจัดซื้อวัคซีน ซึ่งอ้างว่าไม่ได้คุณภาพมาให้บริการกับประชาชน  รวมทั้งล้มเหลวในการรับมือกับเชื้อไวรัสร้าย  มาใช้เป็นเงื่อนไขหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

โดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่ จัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ใช้งบประมาณไปกว่า 6,000 ล้าน ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม. ตั้งข้อสังเกตว่า  อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 47 วรรคสาม ซึ่งระบุไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและ ขจัดโรคติดต่ออันตราย จากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”

และมาตรา 55 ผู้ที่สั่งซื้อและ ครม. อาจมีความผิดฐานจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจ ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอันถือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ครับ…เรื่องนี้จะถูกผิดอย่างไรก็ว่ากันไป ตามกระบวนการยุติธรรม และ การตรวจสอบขององค์กรอิสระ เพียงแต่ที่ผมแปลกใจคือ แกนนำคนสำคัญพรรคการเมืองน้องใหม่ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ในฐานะประธานพรรค เคยดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข  จะไม่รับรู้แนวทางการทำงานของหน่วยงาน  ซึ่งทำหน้าที่ดูแลระบบสาธารณสุขให้เพื่อนร่วมชาติ และมีบทบาทเป็นด่านหน้ารับมือเชื้อไวรัสเลยหรือ

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.“นพ.เฉวตสรร นามวาท” ผอ.กองควบคุมโรค และภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค ได้ออกมาอธิบายถึงเหตุผลที่นำวัคซีนซิโนแวคเข้ามาใช้ เนื่องจากมีประสิทธิผลในการป้องกันการป่วยรุนแรง ลดการใช้เตียงไอซียู และ ลดการเสียชีวิต

โดยข้อมูลจาก อินโดนีเซีย ซิโนแวคป้องกันป่วยเข้าโรงพยาบาลร้อยละ 96 ป้องกันการเสียชีวิตร้อยละ 98 ในชิลีป้องกันป่วยรุนแรง ร้อยละ 89 ในบราซิล ป้องกันป่วยเข้าโรงพยาบาลร้อยละ 86 และป้องกันการเสียชีวิต ร้อยละ 95 นพ.เฉวตสรรกล่าว

ส่วนประเทศไทยข้อมูลที่ภูเก็ต ป้องกันการติดเชื้อ ร้อยละ 90.7 จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ในการเลือกนำเข้าใช้ และเป็นวัคซีนที่สามารถจัดส่งได้ในช่วงเวลานี้ ที่ประเทศไทยกำลังเร่งฉีดวัคซีน เพิ่มภูมิคุ้มกันหมู่ ส่วนวัคซีนตัวอื่นยังต้องรอการจัดส่ง “ขอประชาชนมั่นใจว่า วัคซีนทุกตัวที่รัฐจัดหามีความ ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขอให้ไปรับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้”

ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อมูลเพื่อย้ำว่า วัคซีนที่ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียน มีความปลอดภัย และมี ประสิทธิภาพ โดยประเทศไทยมีวัคซีน 3 ชนิดที่ให้บริการไปแล้ว ได้แก่ แอสตราเซเนกา ซิโนฟาร์ม และ ซิโนแวค อีกทั้งการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19

โดยเฉพาะแผนการจัดหาวัคซีน ประกอบไปด้วย คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ และมีงานวิชาการรองรับ เป็นไปตามกฎหมายทุกขั้นตอน สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ และทำตาม หลักภาวะฉุกเฉิน ด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศของ WHO

เลยรู้สึกแปลกใจ และมีคำถามเกิดขึ้น  พรรคไทยสร้างไทยมีความรู้เรื่องแวดวงการแพทย์มากกว่าองค์กรระดับอย่าง “องค์การอนามัยโลก” เลยหรือ และไม่อยากคิดว่า บุคคลที่เคยทำงานในกระทรวงสาธารณสุข จะนำเรื่องการรับมือเชื้อไวรัสร้าย ซึ่งกลายเป็น “สงครามโรค” มาทำลายฝ่ายบริหาร ซึ่งการคัดเลือกวัคซีนของรัฐบาล ก็มีบุคลากรทางการแพทย์ให้ข้อมูลและความคิดเห็น ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะตัดสินใจในเรื่องนี้แต่เพียงลำพัง

จริง ๆ ที่ผ่านมามีคนบางกลุ่มพยายามปลุกกระแสต่อต้าน“ซิโนแวค” สร้างภาพให้เห็นว่า ไม่มีคุณภาพ มุ่งหวังให้ประชาชน
ไม่ไปรับบริการวัคซีน จนส่งผลทำให้คนบางส่วนเกิดอาการป่วยหนัก หลายคนต้องเสียชีวิต หรือมีใครเห็นความสูญเสียเป็น ผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งถ้าใครคิดอย่างนี้ ก็ต้องบอกว่าเลวระยำเกินมนุษย์จริง ๆ

เอาล่ะ“คุณหญิงสุดารัตน์” ใครก็รู้มีคอนเนกชั่นกับนักวิชาการ คนทำโพล สื่อบางคน หมาเฝ้าบ้านบางตัว  อาจคิดว่าถ้าหัวหน้ารัฐบาล ลาออก โอกาสทองจะเป็นของตัวเอง ซึ่งทุกคนมีสิทธิคิด แต่อย่าใช้วิธีสกปรก บิดเบือนข้อมูลทางการแพทย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง.

———–
เขื่อนขันธ์