ทั้งนี้ สังคมไทยยังตามดูบทสรุปกรณีกระแสครึกโครม “ท่านทิพย์ไฮโซเก๊” ที่ยิ่งขุดลึกก็ยิ่งพบพฤติกรรมน่าตะลึง!! กับการแสดงออก ทำเป็น “อวดรวยอวดโอ่” ต่อสาธารณะ ซึ่งนั่นก็ว่ากันไป… อย่างไรก็ตาม กับภาพรวม ๆ ไม่เฉพาะเจาะจงกรณีใด ก็น่าพินิจ…

พฤติกรรมแนวนี้ “ถือว่าเป็นจิตมั้ย??

วันนี้ ณ ที่นี้จะสะท้อนย้ำถึง “วิสัชนา”

ทั้งนี้ กรณี “อวดรวย” หรือ “ขี้โม้” นั้น แม้พฤติกรรมดังกล่าวนี้จะดูเป็นกรณีปกติ ก็ดูจะเป็นกรณีธรรมดา ๆ ซึ่งหลายคนก็สามารถที่จะเกิดลักษณะอาการหรือมีพฤติกรรมในรูปแบบนี้ได้ แต่…ถ้าแค่นาน ๆ ครั้ง ไม่ใช่บ่อย ๆ ไม่ใช่เป็นประจำ ก็จึงจะถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่า…กับคนที่ชอบ “อวดรวยผสมคุยโวโอ้อวด” หรือว่า “ขี้โม้จนเกินจริงไปมากเกิน” จนดูเหมือนจะ “ติดนิสัย” นี้ไปแล้วนั้น…นี่ก็นับว่า “น่าพินิจน่าคิด” ว่า…แบบนี้ “เข้าข่ายอาการทางจิตเวชหรือไม่??”อย่างไร??…

โดยเฉพาะ “ถ้ามิใช่โม้หวังประโยชน์”

กับ “วิสัชนา” น่าคิดกรณีนี้ ทาง ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เคยสะท้อนอธิบายผ่านทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ไว้ เกี่ยวกับ “พฤติกรรมชอบคุยโว-ขี้โม้-อวดรวย” โดยระบุไว้ว่า… “ขี้อวด” “ขี้โม้” หรือถึงขั้น “ขี้โกหก” นั้น การที่บางคนชอบพูดถึงแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ ชอบคุยโวโอ้อวดว่าตนเองเก่ง เจ๋ง ดีกว่า รวยกว่า หรือ ชอบพูดเรื่องไม่จริง ถือเป็นพฤติกรรมที่…

สร้างความรำคาญ” ให้คนรอบข้าง

และ “อาจมีเบื้องลึกของพฤติกรรมนี้

นักจิตวิทยาท่านดังกล่าวขยายความเรื่องนี้ไว้ว่า… พฤติกรรมที่แสดงออกโดย “ชอบคุยโวโอ้อวด–ชอบคุยโม้” กรณีนี้ “อาจมีสาเหตุหลัก ๆ เกิดจากปมด้อยชีวิตในวัยเด็ก??” โดยในทางจิตวิทยาสามารถจำแนกลักษณะพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ 3 ประเภทหลัก ๆ คือ… ประเภทแรก เกิดจาก “ปมด้อยด้านร่างกาย” โดยที่ อาจเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาไม่สวย ไม่หล่อ ดูไม่ดี และมักจะ ถูกล้อเลียน ถูกดูถูก เกี่ยวกับปมด้อยร่างกายเป็นประจำ จนต้อง สร้างเรื่องเพื่อหวังให้ตัวเองเด่น

ประเภทต่อมา เกิดจาก “ปมด้อยด้านจิตใจ” ซึ่งเกิดจากการที่บุคคลนั้น ๆ ในวัยเด็กขาดความรัก หรือเกิดความรู้สึก เช่น รู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือ รู้สึกว่าเพื่อนฝูงไม่รัก หรือ รู้สึกว่ามักไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนรอบตัว ในสังคมที่ตนเองอยู่ร่วมด้วย จนต้อง สร้างเรื่องราวใหม่ขึ้นมาเพื่อหวังดึงดูดความสนใจ จากคนรอบข้าง จากคนในสังคม

และอีกประเภทคือ…อาจจะ เกิดจาก “ปมด้อยด้านสังคม” เช่น… ฐานะทางครอบครัวไม่ค่อยดี หรือว่า ขาดโอกาสตั้งแต่วัยเด็ก อาทิ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้หรือของเล่นเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ จึงมีการ สร้างเรื่องราวขึ้นเพื่อหวังให้คนอื่นสนใจ …เหล่านี้เป็น “ปัจจัย” ที่อาจจะเป็น “เบื้องลึก” ทำให้ “ชอบคุยโม้ชอบโอ้อวด” โดยเฉพาะเรื่องที่เกินจริง

ที่บางคนออกไปในแนว “ขี้โม้อวดรวย”

ย้ำว่าเป็น “กรณีมิใช่โม้หวังประโยชน์”

ทาง ดร.วัลลภ ยังได้เคยอธิบายผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ไว้อีกว่า… ปมด้อยเหล่านี้อาจส่งผลให้บางคนเลือกแสดงออกผ่านการคุยโม้ เพื่อจะให้ตัวเองดูมีคุณค่า ดูมีศักดิ์ศรี เพื่อจะให้ตัวเองมีตัวตนในสังคม ซึ่งเมื่อทำแล้วเกิดความรู้สึกดีก็จะยิ่งแสดงพฤติกรรมเช่นนี้บ่อย รู้สึกดีที่สร้างโลกของตัวเองขึ้น สุดท้ายก็เสพติดพฤติกรรมนี้”

นี่เป็นคำอธิบายโดยสังเขปถึง “ปมด้อย”

ที่เป็น “ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม”

ทั้งนี้ แม้ “ขี้โม้โอ้อวด” ที่บางคนออกแนว “ขี้โม้อวดรวย” จะเป็นพฤติกรรมที่เกิดได้กับคนทั่วไป และก็ยังไม่ใช่อาการทางจิต แต่นักจิตวิทยาก็ชี้เตือนไว้ว่า… ถ้าปล่อยให้พฤติกรรมนี้ติดตัว “เป็นนิสัย” ก็จะ “ถือเป็นความไม่ปกติ” จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข บำบัด เยียวยา เพราะว่าอาจ“เป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่อาการทางจิต” ที่ไม่เป็นผลดีต่อบุคคลนั้น และผู้อื่น ซึ่งอาจนำสู่การเป็นโรคไบโพลาร์ โรคอารมณ์แปรปรวน 2 ขั้ว มีความผิดปกติทางอารมณ์ 2 แบบ ที่เปลี่ยนแปลงไปมาสลับกัน และถ้าปล่อยไปนาน ๆ ก็อาจทำให้ป่วยจิตเป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย …นี่เป็นคำเตือนที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ขอสะท้อนย้ำไว้อีกครั้ง

รวมถึงเพิ่มเติมที่นักจิตวิทยาได้ระบุไว้ด้วยว่า… ขี้โม้โอ้อวด” กับเรื่องทั่ว ๆ ไปก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าโม้แบบโม้เป็นคนมีตำแหน่ง หรือ โม้เป็นคนมีสถานะสูง ถ้าเช่นนี้ อาจเกิดผลกระทบร้ายแรงได้ และ คนอื่นก็ต้องระวังการหลงเชื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณี “ขี้โม้โอ้อวด” หรือที่ออกแนว “ขี้โม้อวดรวย” ที่ ณ ที่นี้ชวนพินิจเน้น ๆ อีกครั้งก็ย้ำว่ามิใช่จะเฉพาะเจาะจงใคร อย่างไรก็ตาม ถ้า “ขี้โม้โอ้อวดให้คนอื่นหลงเชื่อเพื่อหวังประโยชน์” นี่คือ “หลอกลวง” ซึ่งผลลัพธ์ย่อมมิใช่แค่ปัญหาทางจิต

ขี้โม้ต้มตุ๋นคนอื่น” นั้น “ผิดกฎหมาย”

ผลลัพธ์” คือ “มีโทษตามกฎหมาย”

โม้แกงคนอื่น” ก็ “มีสิทธิ์ติดคุก!!”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์