หลังตัดสินใจลาออกจากราชการ ทั้งที่ขณะนั้นตำแหน่งหน้าที่ในกระทรวงพลังงานกำลังไปได้สวย การตัดสินใจลาออกตอนนั้นทำให้หลายคน “ช็อก” ขณะที่เส้นทางใหม่ที่เลือกทำให้หลายคน “ทึ่ง” โดยเป็นเส้นทางที่ต่างจากเดิม นั่นคือการสมัครเป็น ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) และได้รับการคัดเลือก ซึ่งแน่นอน…การตัดสินใจครั้งใหญ่นี้ย่อมมีเบื้องหลังน่าสนใจ โดยวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปสนทนากับผู้ชายคนนี้… “ดร.โจ๊ะ-ทวารัฐ สูตะบุตร”

ก่อนจะไปที่เหตุผลการตัดสินใจในการลาออกจากงานราชการ และหันมาจับงานด้านการศึกษา “ทีมวิถีชีวิต” ขอพาไปทำความรู้จักกับเจ้าของเรื่องราวในวันนี้เพื่อเป็นการปูพื้นกันเสียก่อน โดย “ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร” เกิดและเติบโตในครอบครัวที่สืบเชื้อสาย “เจ้าฟ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทร์” โดย “เจ้าจอมสดับ” ซึ่งเป็นหนึ่งในสายลดาวัลย์ มีศักดิ์เป็นพี่สาวของคุณตา และเป็นคุณป้าของคุณแม่ของ ดร.ทวารัฐ คือ ม.ล.พูนแสง ลดาวัลย์ สูตะบุตร ซึ่ง ดร.ทวารัฐ เรียกเจ้าจอมสดับว่า “คุณยายจอม” โดย ดร.ทวารัฐ บอกเล่าไว้ว่า วิธีเลี้ยงดูอบรมลูกหลานและวิธีคิดของคุณยายช่วยหล่อหลอมให้เขาเชื่อว่า “การเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องได้รับการปลูกฝังลงวัฒนธรรมครอบครัวและสังคม”ซึ่งทั้งตัวของเขา และน้องชายของเขา คือ “โปรแจ๊บ-ตรีรัตน์ สูตะบุตร” นักกอล์ฟและนักพากย์กีฬาชื่อดัง ก็ซึมซับแนวคิดเรื่องนี้เข้ามาในชีวิตจนถึงวันนี้ อีกทั้งเขายังได้ถ่ายทอดแนวคิดดังกล่าวนี้ไปยังลูกชายทั้ง 3 คนของเขากับ ภรรยาชาวออสเตรเลีย คือ “เคลลี่” อีกด้วย

ดร.ทวารัฐ พูดถึง “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ “อยากเป็นนักจุดประกายการเรียนรู้”ไว้ว่า น่าจะเกิดขึ้นตอนที่คุณพ่อคุณแม่พาไปเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยคุณพ่อ คือ ดร.ประเทศ สูตะบุตร อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมพลังงาน และเลขาธิการสำนักงานพลังงานแห่งชาติ กับคุณแม่เขา ซึ่งเป็นนักการศึกษาที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เปิดมุมมองใหม่เรื่องนี้ให้เขา โดยเขาเล่าว่า ตั้งแต่วัยเด็ก ได้มีโอกาสติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปตรวจงานตามที่ต่าง ๆ จึงทำให้ได้เห็นโลกในมุมมองที่หลากหลาย และทำให้เข้าใจชีวิตคนในมิติต่าง ๆ และนอกจากนี้เขายังได้เรียนรู้เรื่องพลังงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ จากการที่ได้ติดตามคุณพ่อไปดูงานเรื่องเขื่อน และพลังงานต่าง ๆ ทำให้เข้าใจว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำ พลังงาน คือสิ่งที่สำคัญของการพัฒนาชีวิต

ในขณะที่มุมมองที่มีต่อมิติทางวัฒนธรรมนั้น เขาก็ได้ซึมซับมาจากการที่ได้ติดตามและเห็นงานที่คุณแม่ของเขาทำ ด้วยการมีโอกาสเข้าไปคลุกคลีในสำนักงานข่าวสารอเมริกา (USIS) ในสมัยที่คุณแม่ของเขานั้นทำงานเป็นที่ปรึกษาแนะแนวการศึกษาที่สถานทูตสหรัฐ ซึ่งถือเป็นประตูอีกบานหนึ่งที่ช่วยเปิดโลกให้กับเขา ทำให้ได้อะไรมากกว่าแค่เพียงเรื่องของการได้รับทุนเรียน แต่ยังทำให้เขามีโอกาสได้ซึมซับวัฒนธรรมใหม่ ๆ เช่น ดนตรี แจ๊ส การแสดง และกีฬา เข้ามาในชีวิตอีกด้วย

จุดเปลี่ยนชีวิตตอนนั้นเกิดขึ้นช่วงที่ผมกำลังเรียน ม.5 ต่อ ม.6 โดยผมสอบเทียบและสอบผ่านโครงการ AFS ได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา 1ปี ทำให้ได้ทั้งภาษา มิตรภาพ กับวัฒนธรรมใหม่ ๆ และทำให้รู้ว่าโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่บ้าน ครอบครัว หรือกรอบเดิม ๆ แต่มันกว้างใหญ่ ที่เราเองต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวเอง” ดร.ทวารัฐ ระบุไว้

“คุณยายจอม” ของ ดร.โจ๊ะ

ทั้งนี้ ถึงแม้จะมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีเป็นทุน ทาง ดร.ทวารัฐ ก็เน้นย้ำว่า ตัวเราก็ต้องเป็นคนที่รู้จักไขว่คว้าหาโอกาสให้กับตัวเองด้วย โดยเขาเล่าว่า ประสบการณ์ที่ต้องใช้ชีวิตในต่างแดน ไม่เพียงเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ แต่ยังช่วยให้มองชีวิตไกลกว่าเดิม โดยเขาเชื่อว่า “การเรียนรู้นอกห้องเรียนและการเปิดโลกทัศน์ คือ หัวใจของการเรียนรู้”

ภาพในอดีต คุณพ่อและคุณแม่

พร้อมทั้งบอกไว้ว่า จากประสบการณ์ชีวิตที่ได้โลดแล่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อมีโอกาสมาเป็น ผอ. OKMD ยิ่งตอกย้ำว่า “พื้นที่สร้างสรรค์ยังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการจุดประกายการเรียนรู้” โดยต้องพัฒนาไปพร้อมกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างรู้เท่าทัน “สมัยเรียนมัธยม ผมรู้สึกว่าห้องสมุด AUA คือสถานที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ หนังสือดี แอร์เย็น คนที่ไปที่นั่นดูใฝ่รู้ ดูไม่เหมือนคนที่ถูกบังคับให้เรียน” ดร.ทวารัฐ ย้อนความหลัง และยังกล่าวชื่นชมที่เมื่อ 21 ปีก่อนรัฐบาลชุดแรกของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้ง OKMD ขึ้น พร้อมกับพัฒนา TK Park กับ Museum Siam ขึ้น จนปัจจุบันพื้นที่เหล่านี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจที่ทำให้คนไทยอยากเรียนรู้มากขึ้น

ดร.โจ๊ะ กับคุณแม่

สำหรับบทบาทในภารกิจในฐานะ ผอ. OKMD นั้น ทาง ดร.ทวารัฐ บอกว่า ได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนว่า TK Park ควรมีครบทุกอำเภอทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง และ Museum Siam ควรมีทุกจังหวัด 77 แห่ง ขณะที่โครงการล่าสุดอย่าง National Knowledge Center (NKC) ก็จะถูกใช้เป็นต้นแบบใหม่ของการผสมผสานพื้นที่กับเทคโนโลยี เพราะต่อให้มีพื้นที่ที่ดีแค่ไหน ถ้าเทคโนโลยีไม่ทันสมัย คนก็ไม่อยากเข้าไป และในปีที่ 3 ภายใต้หมวกของ OKMD นั้น เขาตั้งใจที่จะจุดประกายการเรียนรู้ให้สังคมไทย เนื่องจากมองว่าการศึกษาไทยแบบดั้งเดิมยังไม่เท่าทันโลก โลกยุคใหม่นั้นหมุนเร็วขึ้นด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล

ภาพครอบครัวใหญ่ในปัจจุบัน

ผมมองว่า การศึกษาแบบไทย ๆ อยู่ในสภาวะแข็งตัว เนื่องจากระบบการศึกษาไทยยังเต็มไปด้วยกรอบและหลักสูตรที่ยืดหยุ่นน้อย ทำให้ไม่ทันโลกไม่ทันเทคโนโลยี แต่ถึงกระนั้นก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้” เป็น “เป้าหมายใหญ่” ที่ ดร.ทวารัฐ ระบุไว้ชัดเจน กับภารกิจเรื่องนี้ที่จะต้องทำให้สำเร็จ หรือทำให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้เช่นนี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เกิดขึ้นมาตลอด โดยเขาได้ยกตัวอย่างสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ยุคนั้นถือเป็น “ต้นแบบของการจัดการความรู้” โดยรัชกาลที่ 3 ทรงให้ความสำคัญมากกับการจัดเก็บ กับถ่ายทอดความรู้ ทั้งการแพทย์ เศรษฐกิจ ศิลปะ งานช่างฝีมือ และสิ่งที่หลายคนไม่รู้ รัชกาลที่ 3คือผู้ทรงริเริ่มกระบวนการจัดการความรู้ในเชิงระบบ เพราะทรงเห็นคุณค่าของความรู้ใหม่ ๆ ที่เข้ามาในสมัยนั้น ทำให้เวลานั้นประเทศไทยมีการบันทึกความรู้การแพทย์ รวมถึงความรู้จากต่างประเทศ เอาไว้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน โดยมี วัดโพธิ์ เป็นสถานที่เก็บรวบรวม จนถือว่าวัดโพธิ์เป็นศูนย์กลางความรู้ของประเทศไทย ที่ถ้าเทียบยุคนี้ก็เป็นเหมือน Knowledge Portal แห่งแรกของไทย เป็น คลังสมอง ของชาตินั่นเอง

ทั้งนี้ “ดร.ทวารัฐ” ผอ. OKMD ย้ำไว้ว่า การเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความภาคภูมิใจทางประวัติศาสตร์ แต่คือการตอกย้ำความสำคัญของระบบการจัดการความรู้ ที่จะต้องมีศูนย์กลาง มีการบันทึก มีการถ่ายทอด และมีพื้นที่ที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างแท้จริง “ผมเชื่อว่าเราทุก ๆ คนกำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน นั่นคือทำให้ความรู้มีชีวิต…เพื่อให้ความรู้เข้าถึงทุกคน”.

แง่คิด’ น่าคิด ‘สกัดดาบสองคม’

ในโลกสังคมเทคโนโลยีที่ AI หรือเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ ก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิตคนยุคใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะ ผอ.OKMD ทาง “ดร.โจ๊ะทวารัฐ สูตะบุตร” ได้ย้ำเตือนสังคมว่า “การเข้ามาของ AI กำลังเป็นเรื่องท้าทายในหลายมิติ” ซึ่งการใช้ AI ควรต้องใช้งานอย่างมีวิจารณญาณ ที่จะต้องไม่ใช่แค่คัดลอกหรือตัดแปะข้อมูล แต่ต้องใช้การรู้จริงในการต่อยอด และต้องสามารถสอบทานผลลัพธ์ได้ โดยเรื่องนี้ OKMD มีภารกิจสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเข้าใจว่า แม้เทคโนโลยีจะช่วยประมวลผลอย่างรวดเร็ว แต่หากใช้โดยไม่เข้าใจ หรือควบคุมไม่ได้ ก็อาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้ง่าย ทั้งนี้ ในมุมของการพัฒนานโยบายความรู้ ดร.ทวารัฐ ชี้ว่า ไทยยังขาดองค์กรหลักที่ขับเคลื่อนเรื่อง “การจัดการความรู้อย่างจริงจัง”โดย OKMD เป็นหนึ่งในไม่กี่หน่วยงานที่ทำเรื่องนี้ ร่วมกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความรู้กับแนวทางที่ถูกต้อง

บ่อยครั้งที่มักจะมีคำถามว่า เรามีความรู้สะสมในระบบราชการมานาน แต่ทำไมยังทำผิดซ้ำ คำตอบคือ ความรู้ที่ทำถูกไม่ได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ หรือไม่ถูกเผยแพร่ คนก็เลยทำตามความรู้สึก ซึ่งถ้าจัดการความรู้ได้ดี AI ก็จะเป็นตัวช่วยชั้นเยี่ยม แต่หากขาดการบริหารจัดการที่เหมาะสม เทคโนโลยีก็จะกลายเป็นดาบสองคม”.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน