สถานการณ์ความขัดแย้งรอบบ้านขนาบไทยทั้งแนวรบตะวันออกและตะวันตก โดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ระอุมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลที่นำโดย “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังออกแอคชันได้ไม่ได้โดนใจประชาชนเท่าที่ควร วันนี้คอลัมน์ “ตรวจการบ้าน” ได้มาสนทนากับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานกรรมาธิการการทหาร สภาฯ ประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นมาในช่วงเวลานี้ และจะมาร่วมหาทางออกของปัญหาอย่างไร

โดย “วิโรจน์”ต้องยอมรับว่าทางฝั่งกัมพูชาเขาก็มีความประสงค์ที่จะสร้างกระแสชาตินิยมขึ้นมาในประเทศของเขา เพื่อสร้างความนิยมทางการเมืองให้กับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สังเกตท่าที “ฮุน มาเนต”หรือไม่ ถอดสูทออกมาใส่ชุดทหาร ผมว่ามันเป็นแก๊กเดิมๆ ในการสร้างเอกภาพภายในชาติ  ซึ่งเราก็ต้องรู้เท่าทัน “ฮุน เซน”  ประธานคณะองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ที่ผมต้องย้ำคือเราไม่สามารถให้ในสิ่งที่ “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ต้องการได้ แม้ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบรัฐบาล ชอบหรือไม่ชอบฝ่ายค้านก็ตาม หรือตัวผมเองแม้ว่าผมจะเป็นคู่แข่งขันทางการเมืองกับฝ่ายรัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ตาม ผมก็ยังต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าผมจะต้องห้ามคิด ห้ามทำอะไร ให้ “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต”ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ สรุปง่ายๆ คือ เขาต้องการสร้างความนิยมทางการเมืองผ่านการสร้างกระแสชาตินิยม ซึ่งมันหลีกหนีไม่พ้นการสร้างศัตรู เราก็ต้องอ่านเกมนี้ให้ออก

ส่วนเป็นเพราะรัฐบาลไทยอ่อนแอหรือไม่ ผมเรียกว่าไม่ทันระวัง และไม่รู้เท่าทันกัมพูชา แล้วเราก็เลยไม่ได้ตระเตรียมความเข้มแข็งเอาไว้รับมืออย่างทันท่วงทีดีกว่า ไม่ใช่ความอ่อนแอ ซึ่งไล่เรียงเหตุการณ์จนมาถึงการปะทะเมื่อวันที่ 28 ..ที่ผ่านมา เชื่อว่าเขาวางพล็อตเรื่องเป็นเรื่องยาวไว้แล้ว  จึงถึงเวลาที่เราต้องตระเตรียมและแสดงท่าทีที่เข้มแข็งต่อประชาชน สาธารณะ และสายตาของนานาอารยประเทศในเวทีโลกได้แล้ว

@ที่ผ่านมาผู้นำไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

วันนี้มันเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐแล้ว ทาง “แพทองธาร” ก็ต้องเป็นมืออาชีพคือไม่เอาความสัมพันธ์ในเรื่องของครอบครัวหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวมาปะปนกันในเรื่องนี้ ตอนนี้มันเลยจุดที่ครอบครัว 2 ครอบครัวจะเจรจากันแล้ว ผมไปส่องดูกระแสในโซเชียลมีเดียของกัมพูชาสิ่งที่น่าตกใจมากก็ คือ คอมเมนต์และท่าทีของประชาชนเป็นเอกภาพมาก ไม่ว่า “ฮุน เซน- ฮุน มาเนต” บอกจะเอากรณีช่องบกขึ้นสู่ศาลโลก สภาก็ขานรับ เสียงจากประชาชนผ่านโซเชียลก็ขานรับ สิ่งที่น่ากังวล คือ พอกลับมาฟากฝั่งประเทศไทยกระแสยังโจมตีกันไปมา ถึงขั้นมีกระแสเรียกร้องให้เกิดการทำรัฐประหารทำลายประชาธิปไตย ซึ่งผมเชื่อว่าเราไม่ต้องทำอย่างนั้น นานาอารยะประเทศเขาจะรับรองรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารหรือในเมื่อคุณมีรัฐบาลที่ขาดการชอบธรรม คุณจะมีความชอบธรรมอะไรไปเจรจา ผมต้องย้ำตรงนี้ด้วยว่าสิ่งที่ทำการคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศ ความชอบธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ

@ เรื่องนี้จะบานปลายนำไปสู่การปลุกประเด็นเสียดินแดนเหมือนในยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหรือไม่  

วันนี้นายกฯ ต้องสั่งการกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ได้แล้วว่าให้รวบรวมหลักฐานทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และหลักฐานทางกายภาพทั้งหมด เพื่อยืนยันในอธิปไตยของประเทศไทยในพื้นที่ช่องบก และควรต้องสื่อสารกลับไปทางกัมพูชาด้วยว่าปัญหาข้อพิพาทมันเกิดขึ้นกับเรา 2 ประเทศ ทางออกที่ดีที่สุดคือการเจรจาอย่างสมเหตุสมผลภายใต้ความเข้าอกเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน การหยิบยกข้อพิพาทไปในเวทีอื่น เช่น ศาลโลก มันต้องใช้ระยะเวลา ๆ ที่ทอดยาวไปเป็นปีๆ ย่อมเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อประเทศของคุณอย่างมหาศาล

@ข้อพิพาทนี้จะเป็นจุดตายของรัฐบาลแพทองธารหรือไม่

ผมคิดว่ายังแก้ไขได้ทัน ซึ่งท่าทีของฝ่ายค้านในวันนี้แตกต่างจากฝ่ายค้านในอดีต ผมยืนยันได้เลยฝ่ายค้านในยุคนี้ พรรคประชาชนจะไม่หยิบยกเรื่องนี้ฉกฉวยมาเป็นเป็นประเด็นทางการเมืองแน่นอน เพราะผมเชื่อว่ามันไม่เกิดประโยชน์ ผมยังยืนยัน ตีจนหน้าเขียว “วิโรจน์”จะไม่ทำอะไร ไม่คิดอะไร ที่ทำให้ “ฮุน เซน และฮุน มาเนต” ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ต้องเอาตำแหน่งทางการเมืองมาแลก ไม่ต้องเอาผลประโยชน์ทางการเมืองมาล่อ ผมและพรรคประชาชนไม่ปรารถนาอย่างนั้นอยู่แล้ว

แต่ผมคิดว่านอกจากท่าทีที่เราต้องตอบโต้ทางฝั่งกัมพูชาที่ท้าไทยตลอดเวลาว่าจะขึ้นศาลโลก อีกส่วนคือผมคิดว่าความเข้มแข็งมันไม่ได้เกิดจากแสนยานุภาพ หรืออาวุธหนักที่เรามี แต่ผมว่าความเข้มแข็งมันสร้างได้ด้วยคำสั่งที่มีเอกภาพและมาตรการที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการเข้าใจกันอย่างชัดเจน

ผมเลยคิดว่านายกฯ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ควรจะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แล้ว หรือว่าจะขอประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญฯ  เพื่อหารือเรื่องนี้ก็ได้ ทางผมเองและพรรคประชาชนก็พร้อมให้ข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ คราวนี้คำสั่งหรือมาตรการใดๆ ที่รัฐบาลกำหนดออกมามันจะมีความเห็นพ้องกันของหน่วยราชการที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้โดยตรง และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากสภาฯ ซึ่งมีที่มาจากประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งมันจะเป็นคำสั่งและมาตรการที่เป็นฉันทามติร่วมกันที่จะมีความแข็งแรงและเป็นเอกภาพมาก ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

ทั้งนี้เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำคือต้องสื่อสารทางการเมือง สื่อสารต่อสาธารณะ ที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งของประเทศเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการเจรจาที่สมเหตุสมผล ท่าทีเหล่านี้มันต้องทำให้ประเทศเรามีอำนาจการต่อรอง  ความชอบธรรมเป็นสิ่งสำคัญมากในการคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศ ถ้าเมื่อไรก็ตามคุณทำตามอำเภอใจคุณอาจได้ความสะใจ เมื่อไรก็ตามคุณทำลายความชอบธรรมนั้นคุณจะเกิดข้อเสียเปรียบในการเจรจาทันที

@ เรื่องนี้จะโยงมาถึงการจัดทำงบประมาณกองทัพอย่างไร

ผมว่ามันคนละส่วนกัน การพิจารณางบประมาณก็พิจาณาอย่างสมเหตุสมผลอยู่แล้ว ถ้าหากติดตามการอภิปรายของพรรคประชาชน เราไม่ได้อภิปรายแบบเอามัน ตัดงบทหาร ตัดงบกองทัพแบบไม่สมเหตุสมผล ในเรือฟริเกตเราสนับสนุนให้ซื้อ 2 ลำ พร้อมกับเงื่อนไขในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในประเทศด้วยซ้ำ ดังนั้นศัตรูของพวกผมคือการคอร์รัปชั่นในแวดวงทหารและการทุจริตในกองทัพ ทหารมีหน้าที่ดูแลรั้วของชาติ ไม่ใช่ดูแลคอกเป็ดคอกไก่ของนาย ผมว่าต้องวางโจทย์ให้ถูก

@สิ่งที่อยากฝากถึงนายกฯ และรัฐบาล

อยากจะขอร้องนายกฯ ว่าช่วงนี้ท่านเพลาๆ เรื่องซอฟต์พาวเวอร์ลงหน่อยเถอะ วินาทีนี้มันต้องฮาร์ดพาวเวอร์แล้ว ระหว่างท่าทีที่ “ฮุน มาเน็ต” แสดงกับรอยยิ้มของท่านนายกฯ เปรียบเทียบกันมันสะท้อนถึงความเข้มแข็งที่แตกต่างกัน แล้วผมยืนยันว่าการเป็นสุภาพสตรีของท่านนายกฯ ไม่ใช่ปัญหา ดูอย่างมาร์กาเรต แทตเชอร์ อดีตนายกฯ อังกฤษ หรือไม่ต้องไปดูไกล ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็จะตอบโต้กับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ แม้แต่วันที่คุณยิ่งลักษณ์มีน้ำตาเขายังเป็นน้ำตาแห่งความเข้มแข็ง วันที่คุณยิ่งลักษณ์ร้องไห้บอกถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว ผมไม่ได้เห็นความอ่อนแอของคุณยิ่งลักษณ์ ผมเห็นความเข้มแข็งที่มันสะท้อนถึงความคับแค้น ผมยังอยากเห็นท่าทีที่เข้มแข็งของนายกฯแพทองธาร ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ได้ยากเกินไป ผมว่าท่านฟังผู้ที่มีความรู้ที่อยู่รอบตัว และกำหนดท่าทีให้ชัดประเทศจะไปได้

“ผมยืนยันแม้ว่าผมจะอยู่ฟากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับท่าน ผมไม่อยากบอกว่าผมเป็นศัตรูทางการเมือง เพราะมันไม่มีคำว่าศัตรูหรอก ผมคิดว่าเราเป็นคู่แข่งขันทางการเมืองทางตรงที่แข่งขันกันแบบดุเดือด จริงจัง ไม่อ่อนข้อให้กันในทางการเมือง แต่ผมก็ยืนยันว่าในสถานการณ์แบบนี้ ผมไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อฉกฉวยโอกาสทางการเมืองแล้วก็ให้ฮุน มาเน็ต ฮุน เซน เขายิ้ม ผมไม่ได้ประสงค์อย่างนั้น แล้วก็ยังยืนยันอีกเรื่องว่าใครก็ตามที่คิดจะทำรัฐประหารรัฐบาลของแพทองธาร ผมก็ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามฝ่ายนั้นแน่นอน”