การเมืองเดินเข้าสู่โหมด มรสุมร้อน สารพัดพายุลูกใหญ่รอโหมกระหน่ำ “รัฐบาลแพทองธาร” ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาแรกที่กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับอธิปไตยไทย กรณีปัญหาชายแดน“ไทย-กัมพูชา” ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ท่ามกลางกระแสโจมตีความสัมพันธ์ของ “ตระกูลชินวัตร” ที่มีความสนิทสนมกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

ขณะที่ “บิ๊กอ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ก็โดนทัวร์ลงโชเชียลแห่ถล่ม ถูกรุมสับไม่แพ้กัน เพราะเป็นผู้คุมหน่วยงานความมั่นคง แต่การตอบโต้กลับดูเหมือนอ่อนข้อให้ฝ่ายตรงข้าม จนกลายเป็นลูกไก่ ของ 2 พ่อลูก “ฮุนเซน”และ “พล.อ.ฮุน มาเนต” นายกฯกัมพูชา ที่หยามหน้ากันสุดๆ คือ ฝ่ายกัมพูชาแหยมเข้ามาขุดคูเลตรุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งที่เป็นพื้นที่อ้างสิทธิที่อยู่ในMOU43 นอกจากนี้ยังมีการหันปลายกระบอกปืนเข้ามาทางฝ่ายไทย เป็นการเดินเกมของฝั่งกัมพูชา โดยมีการวางพล็อตเรื่องเอาไว้ตั้งแต่แรกมองข้ามช็อต มองการเมืองไทยไม่แข็งแรง ใช้จังหวะเข้ายึดพื้นที่ตีกิน
เมื่อเกิดเหตุปะทะจนเจ้าหน้าที่กัมพูชาเสียชีวิต “ฮุนเซน”ชิงจังหวะออกเสต็ปเดินเกมรุกประกาศ ประกาศให้โลกรู้ทันที ว่าถูกรังแก พร้อมยื่นเรื่องต่อศาลโลกทันที เมินMOU43 ขณะที่ไทยออกแถลงการณ์ กอด MOU 43 แน่น

แถมผู้นำรัฐบาล“นายกฯอิ๊งค์” ประกาศยึดแนวทางสันติวิธี สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม จะใช้กลไก “ทวิภาคี” ต่างๆที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา และหนึ่งในกลไกนั้นคือ การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ (JBC) “ไทย-กัมพูชา” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา ไม่มีเจตนาโต้กลับแม้กระทั่ง “แม่ทัพภาค 2”เสนอให้ปิด 6 ด่านชายแดน ก็ยังถูกปรามจากตึกไทยคู่ฟ้า รอจนกว่าจะมีการเจรจาหากไม่เป็นผลจึงค่อยมาพิจารณามาตรการในการตอบโต้ ทั้งที่ทางฝากกัมพูชา ประกาศแล้วว่าในการประชุม JBC จะไม่มีการเปิดโต๊ะเจรจา2 ฝ่ายเรื่องนี้กับไทยของพึ่งศาลโลก
ทำเอาพลังศรัทธาของ “รัฐบาลนายกฯอิ๊งค์” ดิ่งเหวกับท่าทีที่ไม่ได้ใจคนไทยขณะที่ฝั่ง “ฮุนเซน” ใช้โอกาสนี้สร้างเรตติ้งเสริมบารมีให้กับ “ฮุนมาเนต” ผู้เป็นลูกชาย พร้อมโชว์บทบาทปลุกกระแสรักชาติเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา ทำ“นายกฯอิ๊งค์”ดูอ่อนด้อยในการเป็นผู้นำที่เทียบกันไม่ติด ถูกหลอกให้เชื่อในความสัมพันธ์

แต่ความเป็นจริงไม่ได้วัดที่บารมี แต่วัดที่กันที่ศักดิ์ศรีของประเทศและอธิปไตยของไทย ที่ทหารไม่ยอมให้มีการรุกล้ำอธิปไตยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ในมุมของฝ่ายทหารพร้อมรบทุกเมื่อ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลยังคงยึดสันติวิธีแบบหน่อมแน้ม จนกลายเป็น ลูกไล่ “กัมพูชา”
แล้วที่ “นายกอิ๊งค์” ออกมาบอกว่าได้ยกหูคุยกับ “ฮุนมาเนต” ถูกตั้งคำถาม จาก “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างประเทศ เป็นเรื่องอธิปไตยของไทย และการเจรจาเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็นเรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศ การใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวคุยกันจะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นไปอีก เพราะกลายเป็นการทำให้คนไม่ไว้ใจหวาดระแวงต่อท่าทีของรัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ทำลายศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลลงไปอีก

“ทุกคนรู้ว่าเรื่องไทยกัมพูชาต้องจบลงที่การเจรจา ใช้กลไกไหนอาจจะยังไม่มีใครทราบ แต่ก่อนที่รัฐบาลจะไปเจรจา โดยเฉพาะเวทีที่รัฐบาลหวังเป็นอย่างมาก วันที่ 14 มิ.ย. ก่อนจะถึงวันนั้น จะสร้างอำนาจต่อรองอย่างไร สิ่งนี้เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลจะต้องจำใส่ใจ และเข้าใจถ้าคุณมีอำนาจในการต่อรอง ไม่ว่าจะเจรจาเวทีไหนก็แล้วแต่ คุณจะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเสมอ“
แนวทางรัฐที่เดินอยู่จึงยังไม่ใช่ทางออกของประเทศ การใช้สันติวิธีก็ต้องใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวควบคู่กันไปให้รู้ว่าใครเป็นใหญ่ในย่านนี้ ถึงเวลาที่รัฐต้องปรับท่าทีโดยด่วนถ้าทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ก็จะเป็นตราบาปไปทั้งชาติ
ปมร้อนยังไม่จบเท่านี้ยังมี คดีนักโทษเทวดาชั้น 14 โดยในวันที่ 12 มิ.ย.จะมีการประชุมคณะกรรมการแพทย์สภาพิจารณากรณี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ใช้อำนาจวีโต้คำสั่งแพทยสภา ลงโทษ 3 หมอที่เซ็นและรักษาอาการ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจ ท่ามกลางกระแสล็อบบี้หนักหน่วงเพราะต้องได้เสียง 2ใน 3 จากผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งต้องได้เสียง 47 เสียงจากคณะกรรมการฯทั้งหมด 70 คน
เรียกได้ว่าต้องลุ้นทุกขั้นตอนทำเอาหลายฝ่าย ทั้งแพทย์และประชาชนออกมาตบเท้าล่าชื่อให้กำลังใจกรรมการแพทยสภา ให้ทำหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรีไม่ต้องกลัวต่อแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง
การประชุมฯครั้งนี้จะถือเป็นข้อมูลสำคัญสนับสนุนข้อเท็จจริงของ “นายใหญ่ทักษิณ” ว่าจะสอดคล้องกับระเบียบกฎหมายที่มีหรือไม่ ในการเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ติดคุกสักวันเดียว ซึ่งอาจนำไปสู่กระบวนการเชื่อมโยงในไต่สวนคดีชั้น 14 ที่ศาลอาญาได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงให้ข้อมูลในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
งานนี้ “นายทักษิณ” ยังไม่ได้ตัดสินใจจะไปปรากฏตัวต่อศาลเองหรือไม่ บอกได้เลยว่า คดีนี้จะเป็นตัวตัดเชือกชี้ชะตา “นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ที่กลับบ้านมาอย่างเท่ๆ

ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) “นายกฯอิ๊งค์”แย้มแล้วว่าคิดอยู่ในใจแล้วจะปรับครม.อิ๊งค์ 2 ส่วนจะปรับแบบไหนให้ดีขึ้นก็ต้องคุยกับพรรคร่วมก่อน
ยิ่งทำกระแสข่าวลือที่แพร่สะพัดว่าพรรคเพื่อไทยจะดึงกระทรวงเกรดเอมาไว้ในมือโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย จะต้องทวงคืนจากพรรคภูมิใจไทยมาไว้ที่พรรคเพื่อไทย ตามคำที่ “นายใหญ่ทักษิณ”ประกาศไว้ก่อนหน้า โดยให้ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดีอีเอสไป นั่งแทน
โดยพรรคภูมิใจไทยโดยเขย่าหนักถูกทวงเก้าอี้มหาดไทยคืนทุกวันถ้าไม่คืนอาจถูกถีบออกจากพรรคร่วม ขณะที่ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกยังไม่ได้รับสัญญาณจากนายกฯในเรื่องนี้
ขณะที่รวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอกแตก จะถูกเขี่ย หรือเปลี่ยนตัวให้ “สุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์”เป็นรมว.พลังงาน ขณะที่พรรคกล้า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ทำก็พยายามรวบรวมงูเห่าให้ได้มากที่สุดเพื่อต่อรองตำแหน่ง ต้องมาจับตาดูกันว่าการ “ปรับครม.อิ๊งค์ 2” จะรุ่งหรือล่วง

และที่งวดเข้ามาทุกขณะคือเรื่องคดีฮั้วเลือกส.ว. ที่ล่าสุด คณะกรรมการร่วมระหว่าง กกต. และดีเอสไอ ออกหมายเรียกสว.ล็อต 5 ไปแล้วสรุปมีสว.โดนเรียกชี้แจง รวม 127 คน ต้องจับตาดูคณะกรรมการชุดนี้จะมีเรียกผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการฮั้วเลือกสว.ล็อต 6 มาให้ข้อมูลอีกหรือไม่
โดยเฉพาะแกนนำพรรคภูมิใจไทย เพราะนักร้องซ่อนเงื่อน ณฐพร โตประยูร ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณากรณี ‘กกต.-ภูมิใจไทย-สว.’ โดยมีรายชื่อ 200 คน ร่วมกันล้มล้างการปกครอง โดยมีชื่อที่ส่งไปนั้นมีแกนนำ หัวหน้าพรรค ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านรวมไปด้วย
การสู้รบกันระหว่างการเมือง รัฐบาลต้องหันมาดูว่าประชาชนอยู่ตรงไหนเพราะสภาพขณะนี้ เห็นได้ว่า ฝ่ายความมั่นคงอ่อนด้อย ด้านสังคมอ่อนล้า เศรษฐกิจใกล้พังทลาย คงต้องดูกันต่อไปว่าคนไทยจะอยู่อย่างไร จะอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีไปพร้อมๆกันตามที่ “นายกฯอิ๊งค์” ได้ลั่นวาจาได้หรือไม่