ทั้งนี้ เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วมีการคาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญว่าภายใน 50 ปีจากปี 2555 “กรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำ!!” เมืองหลวงไทยบางพื้นที่ “มีสิทธิจมทะเล!!” แล้วรัฐบาลสมัยนั้นก็ได้ “ตั้งคณะทำงานเตรียมแผนรับมือกรุงเทพฯ จม” ซึ่งก็ได้นำสู่การจัดทำ “ข้อเสนอแนะ” เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่ มีการเสนอไว้เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2558
ถึงตอนนี้ “แผนนี้มีอายุเกือบ 10 ปี”…
มาอัปเดทกัน “มีการทำอะไรไปบ้าง?”

รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์
เกี่ยวกับ “ข้อเสนอรับมือกรุงเทพฯ จม” นั้น ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ได้พูดคุยกับ รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปัจจุบันเป็นประธานแผนงานวิจัยแผนงานการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ และประธานแผนงานเข็มมุ่งการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตคณะทำงานที่เคยเสนอแผนรับมือวิกฤตินี้ต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)เมื่อปี 2558 โดย รศ.ดร.สุจริต ได้ให้ข้อมูลว่า… วาระเรื่องนี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 หลัง เวิลด์แบงก์ เผยผลศึกษาในตอนนั้นว่าอีกประมาณ 50 ปี กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่เสี่ยงจมน้ำ จากแผ่นดินที่ทรุดตัว และระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดการศึกษาวิกฤตินี้
จากการศึกษาโดยหลายคณะทำงาน ในตอนนั้นพบข้อมูลว่า กรุงเทพฯ “แผ่นดินทรุดตัว” ประมาณ 5 เซนติเมตรต่อปี และ ตอนนั้นคาดว่าเมื่อรวมเวลาประมาณ 20 ปีระดับน้ำทะเลจะขึ้นมาที่ 2.8 เมตร ขณะที่พื้นที่กรุงเทพฯ บริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลสูงสุดก็แค่ 2 เมตร ดังนั้นจึงทำรายงานกรณี“ระดับน้ำทะเลจะสูงกว่าแผ่นดินกรุงเทพฯ”
“กรุงเทพฯ จมน้ำ” จะ “เกิดขึ้นได้จริง”
รศ.ดร.สุจริต ยังเล่าย้อนอีกว่า… หลังเสนอรายงานให้กับสภาปฏิรูปแห่งชาติแล้ว ตอนนั้นทุกฝ่ายก็เห็นตรงกันว่านี่ “เรื่องใหญ่และสำคัญ” ถ้าเกิดขึ้นความเสียหายจะมูลค่าสูงมาก ผลกระทบจะอยู่เป็นระยะเวลานาน ก็มีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งเพื่อดูว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง? สาเหตุเป็นยังไง? และควรจะทำยังไง? โดยนอกจากจะได้ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้มต่าง ๆ ในอนาคตแล้ว ก็ยัง มีการจัดทำ “ทางออก 3 แนวทาง” เพื่อ “รับมือวิกฤติกรุงเทพฯ จม”ให้พิจารณาด้วย ดังนี้…

แนวทางที่ 1 “เสริมคันกันน้ำเจ้าพระยา” เพิ่มขึ้นจาก 3 เมตร เป็น 5 เมตร ซึ่งวิธีการนี้มีข้อดีคือทำง่าย งบประมาณไม่สูง โดยตัวเลขที่เสนอแนะไว้ ณ ขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่วิธีการนี้ก็มีข้อเสียทางด้านทัศนียภาพที่อาจจะทำให้ไม่สวยงาม ไม่เห็นแม่น้ำเจ้าพระยา และระยะยาวมีโอกาสทรุดจนต้องเสริมอีกทุก 10 ปี กับต้องปรับปรุงซ่อมแซมต่อเนื่อง
แนวทางที่ 2 “ปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา”เหมือนที่เวนิสในอิตาลี หรือแม่น้ำเทมส์ในอังกฤษ เพื่อป้องกันเวลาน้ำขึ้นสูง ทำให้น้ำจะไม่เข้า แต่ข้อเสียคือจะเกิดปัญหาน้ำเสีย รวมถึงอาจจะเกิดปัญหาสังคม หรือมีเรื่องการประท้วงคัดค้านตามมา
แนวทางที่ 3 “ปิดปากอ่าวไทย”ซึ่งประเมินงบประมาณก่อสร้างเวลานั้นอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยวิธีนี้ยังมีข้อดีคือช่วยแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งด้วย เพราะลดกระแสคลื่นได้ และเป็นการแก้ปัญหาที่ถาวรที่สุด แต่ข้อเสียคือเมื่อเปรียบเทียบกันใน 3 ทางเลือกแล้วใช้เวลาก่อสร้างนานที่สุด มีค่าใช้จ่ายสูงสุด และส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมกับสังคมสูงเช่นกัน
เหล่านี้คือ “แผนรับมือกรุงเทพฯ จมน้ำ!!” ที่ถูกเสนอไว้เมื่อปี 2558 หรือเกือบ 10 ปีก่อน เพื่อที่จะ “หาบทสรุปเป็นปัจฉิมบทที่เหมาะสม”อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สุจริต ระบุว่า… “ข้อเสนอมี…แต่ไม่ได้รับการสนอง??”ทำให้ปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าจากข้อเสนอ เนื่องจาก ขาดเจ้าภาพที่ชัดเจน และติดปัญหาใหญ่ ขาดงบประมาณ ด้วย…“ถ้าจำไม่ผิดแผนนี้เคยถูกนำเข้าวุฒิสภาช่วงหนึ่ง ถูกส่งต่อไปที่รัฐบาลยุคหนึ่ง จากนั้นก็แทงไปที่กระทรวงทรัพยากรฯ แล้วมีการตั้งงบราว ๆ 2,000 ล้านบาท เพื่อจะศึกษาเรื่องนี้ต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปต่อ เพราะเหมือนงบจะไม่ได้รับการจัดสรร”
ทาง รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ยังระบุกับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ด้วยว่า… วันนี้แม้สังคมจะมองว่าเริ่มทำตอนนี้สายเกินไปแล้ว แต่ก็ดีกว่าไม่เริ่มต้นลงมือทำอะไรเลย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวก็เสนอ “แผนเฉพาะหน้ารับมือกรุงเทพฯ จมน้ำ” ไว้ 3 แนวทาง คือ… แนวทางที่ 1 “ดูแลตัวเอง”ดูโซนพื้นที่เสี่ยงจะจม และใช้หลักวิศวกรรมสมัยใหม่ช่วย เช่น สร้างบ้านแบบลอยตัว เป็นต้น เพื่อให้ใช้ชีวิตต่อได้, แนวทางที่ 2 “ช่วยกันลดคาร์บอนไดออกไซด์” ที่เป็นสาเหตุโลกร้อนและการเปลี่ยนเปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มาก ก็ต้องทำ เพื่อหวังว่าจะลดอุณหภูมิโลกให้ร้อนน้อยลง, แนวทางที่ 3 “ใช้ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” อย่างน้อยก็จะได้เตรียมตัวอพยพ เพื่อช่วยลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด …นักวิชาการท่านเดิมแนะนำ
ทั้งนี้ ปิดท้าย…หันไปพลิกดูรายงาน เวิลด์แบงก์ ที่นอกจากเคย ระบุไว้เมื่อปี 2555 ว่าภายใน 50 ปี “กรุงเทพฯ จะจมน้ำ” แล้ว ภายหลังยังมีรายงานใหม่ว่า ภายในปี 2573 กรุงเทพฯ มีโอกาสจมใต้น้ำเป็นบริเวณกว้าง!! จากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ ซึ่งหันกลับมามองไทย กรณี “กันกรุงเทพฯ จมน้ำ”จากที่มีการเตือนไว้ กับ “ปัจฉิมบทวันนี้”…
เตือนกว่า 10 ปี เริ่มมีแผนเกือบ 10 ปี
ถึงวันนี้กับ “การแก้ไข–ป้องกัน” นั้น…
ดู ๆ แล้ว “หลัก ๆ ยังมีแค่แผน??”.
ทีมสกู๊ปเดลินิวส์