เข้าไปนั่งอยู่ในใจของแฟน ๆ หลายคน สำหรับ นางเอกสาวหน้าหวาน ริชชี่-อรเณศ ดีคาบาเลส กับผลงานล่าสุดเรื่อง “พระจันทร์แดง” ทางช่องวัน 31 ที่เพิ่งลาจอไป คอลัมน์ดาวต่างมุมสัปดาห์นี้ เลยไม่พลาดนัดสาวริชชี่มาพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ถึงชีวิต 10 ปี ในวงการบันเทิง รวมถึงเรื่องความรักกับหวานใจอย่าง ก็อต-อิทธิพัทธ์ ฐานิตย์ ในวันที่พัฒนาจากคู่จิ้นในจอ มาเป็นคู่จริงนอกจอ

ละครพระจันทร์แดงเพิ่งจบไปเป็นอย่างไรบ้าง ?

“ดีใจค่ะ แฟน ๆ ละครบอกว่าภาพสวยมาก ซีจีก็สวย เลยหายเหนื่อย เพราะตอนที่เราถ่ายทำ ต้องไปอยู่ในป่า ค่อนข้างลำบาก มีฉากแอ๊คชั่น ถึงแม้จะไม่ได้เล่นบู๊ แต่ก็ต้องวิ่ง กระเป๋าหล่น ไปเจอเสือ แล้วสลบ พอได้อ่านฟีดแบ็กจากแฟน ๆ ในทวิตเตอร์ ที่เป็นเรียลไทม์ ก็ดีใจที่แฟน ๆ ชอบคาแรกเตอร์นี้ และชอบพาร์ทความรักที่เชื่อในตัวละครจริง ๆ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่หนักแน่น และพี่โตโน่-ภาคิน เล่น เป็นคนอบอุ่น และเป็นสุภาพบุรุษมาก ๆ เลยทำให้เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะรักเขา
ได้จริง ๆ”

ละครเรื่องนี้ทำให้ริชชี่เข้าใจความรักจริง ๆ?

“ใช่ค่ะ จริง ๆ เราเคยมีจินตนาการเกี่ยวกับความรัก คิดว่าถ้าเรารักใครสักคนแล้วหนักแน่น อะไรเราก็โอเค คือในชีวิตจริงเราอาจจะพูดได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราจะไปต่อแบบในละครไหม”

เป็นละครเรื่องที่ 2-3 หลังเป็นอิสระ?

“เหมือนอยู่วงการมานาน แต่ริชเพิ่งเล่นละคร 4 เรื่องเอง พอหลังจากเป็นนักแสดงอิสระก็รู้สึกว่าตัวเองได้ทำอะไรเยอะเหมือนกัน อาจจะด้วยจังหวะหลายอย่างด้วย เพราะเราเรียนจบแล้ว ทำให้มีเวลาเต็มที่กับงานตรงนี้มากขึ้น ได้ลองหลาย ๆ บทบาทในระยะเวลาสั้น ๆ  ก็ดีใจขอบคุณที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส”

อยู่วงการมากี่ปีแล้ว?

“ริชเข้ามาแคสหนังเรื่อง “คู่กรรม” ตอนอายุ 17 ปีค่ะ ตอนนี้ 27 ปีแล้ว เหมือนแป๊บเดียว 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกเราอาจจะเริ่มจากงานหนัง แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัยพอดี เลยไม่ได้ทำงานตรงนี้เยอะมาก เลยค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ แต่พอเราได้เรียนจบ ก็ได้ตัดสินใจมากขึ้นว่าเราชอบ หรืออยากทำอะไร  มีเวลาทบทวนกับตัวเอง เพิ่งมาทำงานเต็มที่เลย 2-3 ปีที่ผ่านมา”

คิดไหมว่าจะอยู่วงการมานานถึง 10 ปี?

       “ไม่เคยคิดเลยค่ะ อย่างหนังเรื่องแรก ตอนนั้นเราทำเพราะเขาบอกว่าถ่าย 3 เดือนจบ หลังจากนั้นพอมาเรียนอยู่กรุงเทพฯ แล้วได้เล่นละคร เราก็คิดว่าไหน ๆ ก็อยู่ตรงนี้แล้ว น่าจะทำงานไปด้วย เพราะเราก็เคยเรียนและเล่นกีฬาพร้อมกัน เดี๋ยวชีวิตว่างไปแล้วจะเคว้ง (ยิ้ม) อย่างตอนนี้เราทำงานในวงการ ก็อยากจะทำธุรกิจด้วย อยากเปิดคอร์ตแบดมินตัน และเปิดโรงเรียนสอนเด็ก ๆ คุณพ่อมีความเชี่ยวชาญเป็นโค้ชอยู่แล้ว น้องชายก็เป็นนักกีฬา พี่สาวก็เป็นนักกีฬา เลยกำลังมองหาทำเลใกล้ ๆ บ้านของคุณพ่อคุณแม่อยู่ที่
จ.เชียงใหม่ เพราะตอนนี้คุณพ่อริชไปคอร์ตแบดมินตันทุกวัน (หัวเราะ) จะได้อยู่ตรงนั้นไปเลย นอกจากนี้เราอยากส่งเสริมการท่องเที่ยวบนดอยด้วย เริ่มจากบ้านเราก่อน คือ ดอยปู่หมื่น และถ้ามีโอกาสก็อยากจะช่วยเหลือชุมชนใกล้ ๆ ด้วย  แต่ก็เป็นจังหวะช่วงสถานการณ์โควิด-19 พอดี บนดอยก็เลยปิด เพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ตอนนี้ก็ยังปิดอยู่ แต่ก็จะบอกทุกคนว่าเป็นการท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นการท่องเที่ยวแบบชุมชน ไม่ได้เป็นรีสอร์ทหรูหรานะ”

10 ปีที่ผ่านมาในวงการเคยมีช่วงท้อไหม?

“มีช่วงหนึ่งที่ละครเรื่อง “ซ่อนเงารัก” จบ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นทหาร คิดว่าเราน่าจะไปเป็นนักกีฬาให้กองทัพได้ ประกอบกับช่วงนั้นมีบางเหตุการณ์ที่ทำให้คิดว่างานตรงนี้อาจจะยังไม่ใช่ เลยคุยกับแม่และครอบครัวว่าจะลองไปสมัครไปได้ไหม จริง ๆ ที่บ้านริชโอเคนะคะ เขาให้เราทำอะไรก็ได้ที่เราทำแล้วแฮปปี้ แต่ตอนนั้นมีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างเกิดขึ้น คุณพ่อกับคุณแม่เลยขอว่าให้พักก่อนตอนนี้ เดี๋ยวค่อยรอโอกาสหน้า แล้วพี่ป้อน-นิพนธ์ ติดต่อมา ว่าเสียดายโอกาส เราทำงานตรงนี้ได้นะ ซึ่งพอเราได้ยินคนบอกว่าเราทำได้นะ เราก็อยากทำงานกับเขา ก็เลยลองดู ส่วนอนาคตถ้าเหตุการณ์ทุกอย่างดีขึ้น และยังได้โควตาอยู่ริชก็ยังอยากเป็นทหาร เพราะเราชอบดูหนังและชอบมีการฝึกที่มีมิชชั่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ”

ช่วงนั้นผ่านกระแสดราม่าต่าง ๆ มาเยอะ แข็งแรงขึ้นไหม?

“เรารู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้น เมื่อก่อนมีอะไรก็จะบอกแม่ แม่จะช่วยพูดแทน ตั้งแต่เข้าวงการก็มีคนคอยช่วย คนพูดแทนเราหมดเลย แต่พอมีข่าว ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง และต้องไม่ทำให้คนที่เรารักเป็นห่วง ทำให้เราแข็งแรงในเรื่องของการพูดด้วยค่ะ เพราะตอนนั้นเรากังวลมาก ว่าจะพูดรู้เรื่องไหม คือ คนรอบตัวเข้าใจอยู่แล้ว รู้ว่าเราเป็นยังไง แต่พอต้องไปพูดกับคนเยอะ ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นพูดไม่รู้เรื่อง เพราะเราต้องพูดแทนคนอื่นด้วย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่พ่วงถึงคนอื่น เราก็ไม่อยากให้เขาเดือดร้อนไปด้วย”

คนจะมองริชชี่เป็นสาวหวาน ตัวตนเราจริง ๆ เป็นยังไง?

“ไม่เลยค่ะ อาจจะด้วยเพราะงาน และการแต่งตัว แต่จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ เราอยู่โรงเรียนหญิงล้วน  รู้สึกว่าตัวเองแมนสุดในโรงเรียนแล้ว เพื่อน ๆ เดินอยู่ก็เป็นลม แต่เราวิ่งชิลมาก แล้วเราจะตัวสูง และเป็นนักกีฬาด้วย มีช่วงหนึ่งเราย้ายไปโรงเรียนสหฯ ก็ไปวิ่งแข่งกับเด็กผู้ชาย แล้วเราก็ได้ที่หนึ่ง แต่เราจะวิ่ง หน้านิ่ง ๆ เพื่อน ๆ เด็กผู้ชายที่วิ่งต่อมาก็จะเป็นลมกัน ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้อ่อนหวาน หรืออ่อนแอ แต่เขาก็จะบอกว่าเราเรียบร้อย ริชเลยคิดว่าอาจจะเป็นเพราะที่ที่เราโตมา กับคนอื่น อาจจะมองไม่เหมือนกัน”

เป็นเพราะเรียนหญิงล้วนหรือเปล่าทำให้กว่าเปิดใจเรื่องความรักนานมาก?

“ตอนแรกเราก็มองว่าอาจจะไม่มีแฟนเพราะเรียนโรงเรียนหญิงล้วน แต่จริง ๆ เพื่อน ๆ เราก็มีไปส่องโรงเรียนข้าง ๆ นะ (หัวเราะ) แต่เราไม่เคยมองตรงนั้น เพราะเราก็เรียนเต็มเวลา พอเลิกเรียนแม่ก็มารับกลับบ้าน เราเลยรู้สึกว่าอาจจะเป็นตัวเราเองมากกว่าที่ไม่ได้คิดว่าตรงนั้นเป็นเป้าหมายของชีวิต เราใช้ชีวิตแบบมีเป้าหมายก็เลยมีแฟนช้ากว่าปกติ”

ก็อตเข้ามาแบบไม่ได้จู่โจมด้วย?

 “ใช่ค่ะ เหมือนเขาทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นเพื่อนกัน ปรึกษากัน ทำงานด้วยกัน แล้วมีจุดหนึ่งที่ทำงานด้วยกันเยอะ ๆ มีแฟนคลับจิ้น อยู่ดี ๆ วันหนึ่งเขาก็มาบอกว่าเขาชอบเรานะ โตแล้ว ลองคบกันก็ได้”

อะไรที่ทำให้เราเปิดใจ?

“เขาบอกว่าทำไมต้องคิดมาก คิดไปไกลว่ามีแฟนแล้วต้องเลิก จริง ๆ คิดแค่ว่าเรามีเพื่อน อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข สบายใจ ไม่ต้องคิดไปเยอะเลย เขาก็จะทำกับหนูเหมือนเป็นเพื่อนปกติ แต่เขาแค่อยากบอกว่าเขาชอบเรานะ เผื่อเขาเป็นอะไรไป เพราะชีวิตคนเรามันสั้น ก็เลยบอกไว้ก่อนแล้วกัน จะลืม ๆ ไปก็ได้ และจริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่คนดีอะไรเลย แต่อยู่กับเราแล้ว เขาอยากทำดีกับเรา ให้โอกาสเขาได้ไหม เราก็เลยบอกว่าโอเค แล้วก็ค่อย ๆ เปิดใจมากขึ้น”

มาถึงวันนี้มุมมองความรักเปลี่ยนไปไหม?

“จริง ๆ เกือบปีแล้วนะคะ จริง ๆ เมื่อก่อนยังรู้สึกเขิน รู้สึกแปลก ๆ ที่จะใช้คำว่าแฟน แต่ตอนนี้เริ่มชิน เมื่อทุกคนเรียกแบบนั้น เราก็โอเค แฟนก็แฟน  อย่างมีไปกินข้าวกับทีมพระจันทร์แดง พี่เจ้าของร้านก็เข้ามาทักว่า ใช่น้องริชชี่ แฟนก็อต หรือเปล่า  ผมเป็นเพื่อนก็อต  เราก็โอเค ๆ ชินแล้ว ยอมรับก็ได้”

แฟน ๆ อิทธิริชก็เลยยิ่งฟินหนักมาก?

“ต้องบอกว่าพี่ ๆ หลาย ๆ คนทำให้เราได้เห็นบางมุม ก็มีผลที่ทำให้เราไว้ใจ เชื่อใจเขามากขึ้น อย่างคุณแม่ริช ตอนแรกดูยังอินเลย ว่าแม่เห็นนะ คลิปที่แฟน ๆ ตัดมา เขาดูเป็นห่วงหนูจัง  (หัวเราะ)  หนูก็บอกม๊าม้าพี่เขาตัดต่อ แต่จริง ๆ แม่ก็ยังเป็นห่วง เพราะครอบครัวหนู พี่สาวก็ยังไม่เคยมีแฟน เลยจะบอกตลอด
เลยว่าดูแลกันดี ๆ นะ”

มีมุมที่ไม่เข้าใจแล้วจะเลิกไหม?

“มีช่วงแรก ๆ เพราะตอนเป็นเพื่อนเราจะเป็นคนฟังอย่างเดียว แล้วเขาก็จะพูด เราคิดว่าเราไม่น่าจะเป็นแฟนเขาได้ เพราะเรารู้ทุกมุมเกี่ยวกับเขา ข้อดี หรือ ข้อไม่ดี เรารับได้หมด เพราะเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วก็เคยคิดว่าถ้ามีแฟนก็คงไม่ใช่เขา เป็นเพื่อนก็พอแล้ว รู้เยอะเกินไป แต่เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเราเลย ไม่รู้จักเราเลย บางทีเลยมีคำพูดว่าไม่คิดว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราก็ อ้าว…แล้วคิดว่าเราเป็นคนยังไง เราเลยบอกว่าถ้าคาดหวังจะให้เราเป็นอย่างอื่น เราเป็นคนแบบนี้แหละ รับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้นะ จะแยกกันก็ได้ เราโอเคมาก เพราะตอนนี้เรายังอยู่ในสถานะที่คิดว่าอยากให้เขามีความสุข ถ้าเขาเจอใครที่เข้ากับเขามากกว่า เราก็ยินดี เพราะเราก็ไม่เคยมีแฟน เขาก็ช็อกว่าทำไมพูดแบบนี้”

ก็อตดูน่าจะเป็นคนขี้หึง?

“มีบ้างค่ะ  เหมือนเขาบอกให้เรากินเยอะ ๆ  แต่เขาไม่ยอมกินบอกว่าเดี๋ยวต้องไปแสดงละคร เราก็บอกอ้าว…แล้วเราล่ะ ก็เถียงกันไปเถียงกันมา จนเขาบอกว่าอยากให้เราอ้วน ๆ เดี๋ยวคนอื่นมอง (หัวเราะ) เขาตลกดี มีมุมแบบเด็กผู้หญิง ส่วนเราจะไม่คิดเยอะ อาจจะเพราะเขาเคยมีประสบการณ์ความรักมา โน่น นี่ เราก็จะบอกเขาว่า เราไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะเราไม่เคยมีแฟน ไม่มีข้อเปรียบเทียบอะไรทั้งนั้น ไม่เคยคิดว่าเขาควรเป็นยังไง”

คติการใช้ชีวิตตอนนี้?

“ริชจะเลือกทำอะไรที่ไม่กลับมาเสียใจทีหลัง พี่อุ๋ม-อาภาศิริ เคยบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ช่าง ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด  สุดท้ายเวลาคนถามเราว่าถ้าย้อนเวลาได้อยากแก้อะไร ให้เรามีความรู้สึกว่าไม่อยากแก้อะไรเลย เพราะเราทำโมเมนต์นั้นดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เราจะมองอนาคตตลอดว่า ถ้ามีอะไรที่วันหนึ่ง ทำให้เรากลับมาเสียใจ หรือรู้สึกผิดพลาดเราจะทำให้ดีตั้งแต่ตอนนี้”

สุดท้ายฝากถึงแฟน ๆ หน่อย?

“ขอบคุณทุกคนที่รัก สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ริชตลอดมา ตั้งแต่หนังเรื่องแรก ละครเรื่องแรก หรือแม้กระทั่งคนที่รักริชในวันนี้ เร็ว ๆ นี้ที่เพิ่งรู้จักกัน ก็คือความรักที่มีค่ามาก ๆ สำหรับริช เพราะเป็นกำลังใจในการทำงานและการใช้ชีวิตต่าง ๆ ก็ขอบคุณทุกคน และหวังว่าเราจะมีผลงานดี ๆ มาตอบแทนให้ทุกคนมีความสุข เป็นกำลังใจให้กันแบบนี้ไปนาน ๆ นะคะ”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ.