โลดแล่นในวงการมาถึง 10 ปีแล้ว สำหรับนางเอกสาว พรีม-รณิดา เตชสิทธิ์ ที่ตอนนี้ได้พิสูจน์ในหลายบทบาทการแสดง และล่าสุดเจ้าตัวได้ท้าทายฝีมืออีกครั้ง กับ “ซ่อนกลิ่น” ทางช่อง 3 ละครผี ที่มีความโรแมนติกคอมเมดี้ แถมสาวพรีมยังต้องฉีกลุคจากสาวหวาน มาดคุณหนู มาเป็นสวมบทแม่หมอหัวโจก สุดก๋ากั๋น งานนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดไปพูดคุยสาวสาวพรีมถึงบทบาทครั้งนี้ รวมทั้งเส้นทางชีวิตในสายงานบันเทิง ที่ทุกดราม่าและความสำเร็จ ทำให้สาวพรีมเติบโตขึ้น เข้าใจในวงการยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้อัพเดทเรื่องความรักกับหนุ่มนอกวงการ ที่แม่ไม่หวือหวา แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันด้วย

พูดถึงบทบาท “แม่หมอซ่อนกลิ่น” หน่อย?

“แม่หมอซ่อนกลิ่น เป็นคนที่ไม่ธรรมดาค่ะ ดูจากท่าเต้นแล้ว เราจะเข้าร่างทรงเป็นปกติธรรมดาเหมือนคนอื่นไม่ได้ ต้องมีความต้องเต้น เป็นร่างทรงทีมีเกาหลีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ‘ซ่อนกลิ่น’ เป็นคนก๋ากั๋น เป็นคนหัวโจกของอำเภอนี้ เป็นคนที่มีชื่อเสียง ทุกคนจะได้ยินชื่อเสียงของความเป็นเจ้าแม่ ไปไหนผู้คนก็ให้ความเคารพนับถือ หัวร้อนนิดหน่อย อยากทำอะไรก็ต้องได้ทำ เป็นคนสู้ ถ้าใครทำฉันก็ทำกลับ ไม่ยอม มันก็เลยทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น”

เตรียมตัวมารับบทนี้ยังไงบ้าง?

“การเตรียมตัวมารับบทนี้ พรีมทำการบ้านมาแบบกว้าง ๆ เราพยายามหาดูว่าแม่หมอปกติเป็นยังไง แต่ปรากฏว่าที่เราไปดูมา มันไม่ได้สักอย่างเลย คนนี้ฉีกกฎมาก ๆ เราก็พยายามยึดคำบรีฟของผู้กำกับและผู้จัด และสิ่งที่ได้กลับมาคือ พี่อุ๊ (พัชนี จารุจินดา) ผู้จัด และพี่หนุ่ม (กษาปณ์ สัมมาบัตท์) ผู้กำกับ ก็บอกว่า ‘ซ่อนกลิ่น’ เป็นคน ‘สถุล’ เป็นคนบ้าน ๆ ไม่ห่วงสวยอะไรเลย เลยคิดว่าโอค ถ้าอย่างนั้นก็พยายามทำตัวเป็นกระดาษที่ว่างเปล่าที่สุด ไม่ต้องตีกรอบอะไรให้ตัวเอง แต่ในช่วงแรกด้วยความที่เป็นตัวละครที่ไม่ได้เลียนแบบคาแรกเตอร์ที่เราเห็นมาก่อน และด้วยความที่พรีมไม่เคยเล่นบทบาทแบบนี้ ช่วงแรกเลยใช้เวลาครีเอทค่อนข้างเยอะและผ่านการพูดคุยค่อนข้างเยอะ ทั้งกับผู้จัดและผู้กำกับ เหมือนพรีมก็จะลองเล่นดูตามคิวไปก่อนว่าในความคิดของเรา เป็นคนก๋ากั๋น หัวร้อนแบบนี้ มันจะประมาณนี้ ด้วยคำพูดที่เราอ่านจากบทมา หลังจากนั้นพี่หนุ่มและพี่อุ๊ ก็จะคอยตบซ้ายขวา ชอบอันนี้ แต่ไม่เอาอันนี้ ปรับตรงนี้นิดนึงได้มั้ย เลยกลายเป็นตัวละครนี้ออกมา มันก็ค่อนข้างยาก ช่วงแรกจะจับต้องไม่ค่อยถูกค่ะ”

คาแรกเตอร์นี้ มีความรีเลท (Relate) กับตัว “พรีม” ตรงไหน และมีอะไรที่เรารู้สึกเข้าไม่ถึง จนต้องทำการบ้านเป็นพิเศษบ้าง?

“คืออินเนอร์ค่อนข้างใกล้ตัว ในเชิงที่สุดท้ายแล้วภายใต้ความหัวโจกและแข็งแกร่งที่อยู่ข้างนอก แต่ข้างในก็เป็นเด็กรักครอบครัว สู้ และมีความมุ่งมั่น อินเนอร์ ‘ซ่อนกลิ่น’ มีความคล้ายค่ะ เป็นคนที่จริงใจ คิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้น ตรงนั้นไม่ยากสำหรับพรีม แต่ภายนอกพรีมเกร็งมาก ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูด คือปกติที่ผ่านมาพรีมจะได้รับบทที่เวลาพูดจะเรียบร้อย มีมาด มีการคีปลุคในการพูด แต่เรื่องนี้ไม่มีเลย มึงกูมาหมดเลย เราด่าคน เราแหกปาก เราต้องปรับคำพูดตรงนี้ด้วย ช่วงแรกพรีมก็แบบเราพูดแบบนี้ได้จริง ๆ เหรอ ไม่เคยทำเลย (ยิ้ม) ก็จะไม่ชินมาก พี่ปั้นก็จะบอกให้ ‘พรีม ด่าพี่มาเดี๋ยวนี้’ ทุกคนก็พยายามทำลายกำแพงพรีมมาก หลัง ๆ ไม่ต้องบอกเลยค่ะ ทำได้หมดเลย (หัวเราะ) หลัก ๆ จะเป็นภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เราก็มีเผลอตัวเองด้วย เวลาเราออกงาน ใช้ชีวิตประจำวัน เราก็ค่อนข้างนิ่ง มีมาดของเรา เราจะสวย ทำแบบนี้ เป็นมาดที่เรารู้สึกว่าบุคลิกดี แต่เรื่องนี้คือทิ้งหมดเลยค่ะ มันก็เลยเหมือนต้องอาศัยวอร์มกล้ามเนื้อที่แปลกใหม่ เปลี่ยนไป ก็ใช้เวลาค่อนข้างประมาณนึงค่ะ”

คาแรกเตอร์นี้ ถือว่าเป็นไปสุดทางด้านคอมเมดี้ ที่เคยเล่นหรือยัง?

“ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่คอมเมดี้ที่สุด จริง ๆ ‘พ่อครัวหัวป่าก์’ ด้วยมู้ดแอนด์โทนก็คอมเมดี้ แต่ในเรื่องพรีมไม่ได้คอมเมดี้มาก เรื่องนี้ก็ประมาณนั้นเลย เราได้เล่นอะไรเยอะ”

การแสดงคอมเมดี้ ในเรื่องจังหวะยากสำหรับเรามั้ย?

“ใช่ค่ะ ต้องมีจังหวะแบบโจ๊กของมัน ที่ตั้งใจมากก็ไม่ได้ ข้อยากของคอมเมดี้ คือเราไปตั้งใจกับมันมากก็ไม่ได้ ด้วยบทบาทที่พรีมไม่เคยเล่น แล้วมันค่อนข้างออกห่างจากคอมฟอร์ทโซนของพรีม มันทำให้เราเกร็งโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว พอมันเกร็งปุ๊บจังหวะก็ไม่ไหลลื่น มันเลยต้องพยายามหาจุดกลางที่มันพอดีตรงนั้นค่ะ คอมเมดี้เล่นยากพอ ๆ กับดราม่าค่ะ เรื่องนี้ถือเป็นการออกนอกคอมฟอร์ทโซนที่สุดเลยค่ะ”

พอเป็นการออกนอกคอมฟอร์ทโซน และเป็นอีกบทบาทที่เราตั้งใจมาก ๆ มีคาดหวังฟีดแบ๊กจากแฟน ๆ ยังไง อยากให้เห็นอะไรจากการแสดงครั้งนี้?

“พูดตรง ๆ พรีมก็ตื่นเต้นค่ะ เพราะว่าที่ผ่านมา ไม่ได้รับบทที่ฉีกแหวกแนวแบบนี้มาสักพักแล้ว ลึก ๆ ก็คาดหวังแค่อยากให้คนรู้สึกว่าเราเล่นแบบนี้ได้ด้วย อยากให้คนได้เห็นว่ามันก็เป็นอีกบทบาทนึงที่เราสามารถเล่นได้ และนางเอกไม่จำเป็นต้องห่วงสวยเสมอไป อยากให้เห็นว่าตัวละครแบบนี้ก็สามารถมีเสน่ห์ได้นะ อยากให้คนรู้สึกเซอร์ไพร้ส์ในตัวหนู ว่าพรีมก็เล่นแบบนี้ได้ด้วย เหมือนกลับมาตื่นเต้นกับบทละครที่เราได้รับอีกครั้งนึงค่ะ ส่วนในแง่ของละครพรีมคาดหวังให้ทุกคนได้มีรอยยิ้ม ได้ดูละครจบแล้วนอนฝันดี ด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะเบาๆ  ว่าทำไปได้ยังไง ทำไมเล่นกันขนาดนี้ได้ค่ะ (ยิ้ม)”

ได้ร่วมงานครั้งแรกกับ “ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย” เป็นยังไง คิดว่าเคมีดีมั้ย  มีอะไรประทับใจเล่าให้ฟังบ้าง?

“พี่ปั้นเป็นเหมือนพี่ชายของพรีม ทุกวันนี้พรีมสบายใจกับเขามาก ๆ ค่ะ ดีใจมาก ๆ ที่ได้เล่นกับพี่ปั้น เพราะพรีมว่าละครเรื่องนี้เหมาะกับพี่เขา มู้ดแอนด์โทนและทุกอย่าง มันคือสิ่งถนัดของเขา เขาเลยทำให้บรรยากาศในกองถ่าย หรือในฉาก เวลาที่หนูเล่นกับพี่เขามันรู้สึกโฟลว์ สบายใจ และไว้ใจที่จะจูงมือแล้วพาเล่นฉากนี้ไปด้วยกัน ให้มันดี สนุกและตลก ในหลาย ๆ ซีนมันต้องด้นสด มันต้องเล่นมุก หรือผู้กำกับต้องการมุกเพิ่มเติม หนูต้องด่า คำด่าที่มันตลก ๆ พี่ปั้นก็เป็นคนช่วยไว้เยอะมาก ๆ เลยค่ะ เหมือนตัวละครเขาเล่นแหย่ได้ประมาณนึง แต่อย่างอื่นที่เขาคิดในหัว เขาก็ถ่ายทอดผ่านตัวละครหนูหมดเลย (หัวเราะ) อยากเล่นอะไรที่มันหยาบ ๆ เขาก็จะ ‘พรีมเล่นแบบนี้สิ ! พี่ชอบ’ เหมือนเราเป็นร่างทรงของพี่ปั้นก็สนุกดี ด้วยความที่เราไว้ใจพี่ปั้นมาก มันเลยเป็นแบบพี่อยากให้หนูเล่นอะไรก็มา เดี๋ยวหนูเล่น หนูทำให้พี่ได้หมดเลย มันก็เป็นเสน่ห์ที่ทุกคนจะได้เห็นในละครเรื่องนี้ค่ะ”

หลายคนอาจมองภาพ “พรีม” เป็นคุณหนู ได้รับบทเรียบร้อยเป็นคุณหญิง พอได้มาแสดงคอมเมดี้ รู้สึกยังไง?

“พรีมชอบเล่นคอมเมดี้มาโดยตลอดเลยอยู่แล้วค่ะ พอได้มาทลายกำแพงแบบนี้ก็ดีค่ะ ซึ่งเป็นอีกตัวละครนึงที่หนูรัก น่าเอ็นดู รู้สึกว่าหลังจากนี้ถ้าจะได้มีโอกาสทำอะไรแบบนี้อีก ก็คงไม่เกร็ง รู้สึกสนุกกับมันได้เต็มที่เลยค่ะ”

นอกจากเสียงหัวเราะแล้ว คิดว่าแฟน ๆ จะได้ข้อคิดอะไรกลับออกไปบ้าง?

“มีค่ะ จริง ๆ ละครเรื่องนี้มีความโรแมนติกด้วย มันไม่ได้สอนแบบตรง ๆ นะคะ แต่มันทำให้เห็นถึงมุมมองความรักที่แตกต่างกัน และมุมมองของแต่ละคนมันทำให้ผลออกมาเป็นยังไง จริง ๆ ‘ซ่อนกลิ่น’ เป็นคนที่กลัวการจากลามาก ๆ เป็นคนไม่กล้ารัก อย่างคุณพ่อคุณแม่ของเขาก็กลายเป็นวิญญาณ ทุกคนไม่ได้อยู่รอบตัวเขา ทุกคนทิ้งเขาไป แต่ไม่ได้ตั้งใจทิ้ง เลยทำให้ให้เป็นคนกลัวการมีความรัก กลัวการจากลา ยอมไม่ผูกพันดีกว่า เพราะถ้าผูกพันไปแล้ว จะมีการจากลาเกิดขึ้น ส่วนในฝั่งตัวละครของพี่ปั้น จะเป็นคนที่รัก ต้องการรัก เป็นคนที่ชัดเจน ซื่อสัตย์ ซึ่งเขามีปมบางอย่าง ที่ทำให้รู้สึกผิดในใจ ทำให้เขากลัวการสูญเสีย พอสองคนนี้มาเจอกัน ทำให้เห็นการเรียนรู้ที่จะเยียวยาจิตใจตัวเอง จากที่เรามีมุมมองความรักแบบนี้ แต่มันผ่านความคิดอะไรมา ถึงทำให้ตัวละครคิดได้ค่ะ ซึ่งพรีมเชื่อว่าหลายคนถ้าได้เห็น ก็อาจเห็นตัวเองอยู่ในอารมณ์เดียวกับตัวละครก็ได้ในเรื่องของความรัก ที่จริง ๆ ที่เราผลักคนอื่นออกไป เพราะจริง ๆ เราไม่กล้ารักรึเปล่า เรากลัวอะไรอยู่รึเปล่า ในแง่ของคนดูน่าจะรู้สึกและสัมผัสตรงนี้ได้ และลิ้งค์กับตัวละครได้ในเรื่องของมุมมองความรักที่อาจเป็นแบบนี้เหมือนกันค่ะ”

อัพเดทผลงานอื่น ๆ หน่อย?                

“ตอนนี้กำลังถ่าย ‘ชายแพศยา’ อยู่ คู่กับไอซ์-ภาณุวัฒน์ เรื่องนี้คาแรกเตอร์จะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เป็นเรื่องราวของครอบครัวที่เสียคุณพ่อไป และตัวละครที่พรีมเล่นก็ต้องขึ้นมาแทน ต้องดูแลบริษัท มีเรื่องราวของชายแพศยาที่เข้ามาหาครอบครัว ทั้งเข้ามาหาพี่สาวและคุณแม่ เราต้องคอยปราบปรามทุกคน ก็เป็นบทบาทที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งคนไม่น่าจะได้เห็น ตอนนี้ก็ถ่ายไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งพอถ่าย ‘แม่หมอซ่อนกลิ่น’ สลับกับถ่ายเรื่องนี้ ช่วงแรกพรีมก็เป๋ อย่างซีนนอน เรื่องนั้นก็คือนอนไม่ห่วงสวย นอนอ้าปาก แต่เรื่อง ‘ชายแพศยา’ เปิดภาพมาก็ซีนนอน พรีมก็หลับอ้าปากทิ้งไว้ ผมก็กะเซอะกะเซิง ผู้กำกับก็บอกว่าพรีมนอนสวย ๆ หน่อย เราก็ เอ้า! ลืมไป (ยิ้ม) เล่นเป็นคนเมือง เป็นอะไรที่คนละขั้วเลยค่ะ”

พออยู่วงการมาขนาดนี้ มีวิธีเลือกรับบทยังไง ต้องเป็นนางเอกตลอดมั้ย?

“จริงๆ  โชคดีของพรีมด้วย ที่ทุกบทที่ช่องนำเสนอมาให้ ช่องก็คัดเลือกให้ประมาณนึงแล้ว ว่าบทนี้เหมาะกับเรา ด้วยวัยและความสามารถของเรา เขาก็คัดมาให้ มีความท้าทายด้วย แต่ในเวลาเดียวกันก็รีเลทกันได้มากพอ คนดูก็จะรู้สึกตัวละครนี้เป็นพรีมได้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าคนดูหรือตัวเรา เวลาอ่านบทที่เป็นกระดาษแล้วเราเห็นตัวเองในอารมณ์นี้ได้มั้ย ภายนอกอาจเป็นตัวละครที่ไกลตัว ทั้งวิธีการเล่น หรือแบล็กกราวด์ แต่อินเนอร์ข้างในลึก ๆ แล้ว แรงจูงใจของตัวละครแบบนี้ เรารีเลทกับมันได้รึเปล่า อย่าง ‘ซ่อนกลิ่น’ ที่ภายนอกดูไม่มีอะไรที่เหมือนเราเลย แต่โดยอินเนอร์ภายในคงวามมุ่งมั่น รักครอบครัว สู้ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง อินเนอร์ตรงนี้เรารีเลทด้วยได้รึปเล่า อินเนอร์ค่อนข้างสำคัญว่า อินเนอร์ตัวละครและของเรานั้น เราลิ้งค์กันได้มั้ย ”

อยู่วงการมาประมาณ 10 ปีแล้ว รีวิวชีวิตในวงการให้ฟังหน่อยว่ารู้สึกตัวเองเติบโตด้านไหน หรือมีมุมมองต่อวงการเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างมั้ย?

“เติบโตอยู่แล้ว เราสะสมชั่วโมงบินมาประมาณนึงแล้ว ส่วนการเปลี่ยนแปลง คือคุณค่าหรือวินัยในการทำงานของเราไม่เปลี่ยน ที่แน่ ๆ มันไม่ได้ต่ำลง มีแต่เพิ่มขึ้นหรือทำยังไงให้มันดีขึ้น ด้วยยุคสมัยและอะไรหลายอย่าง มันคือการที่เราปรับตัวมากกว่า ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้ามา จนถึงวันนี้รอบตัวเราก็เปลี่ยน หลายอย่างก็เปลี่ยน มันเหมือนที่เราปรับตัวตามช่วงเวลาต่าง ๆ มากว่า แต่ในแง่ของประสบการณ์ก็เยอะขึ้น แต่สิ่งที่พรีมทำมา มันแค่เศษเสี้ยวกับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าของเราค่ะ”

เป็นคนดังไม่พ้น โดนจับตามอง หรือมีเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ณ วันนี้มีมุมมองกับเรื่องนี้ยังไง รับมือกับดราม่ายังไง?

“เชื่อว่าพรีมและหลายคนก็เป็นเหมือนกัน ค่อนข้างยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น ตัวเราก็เหมือนยอมรับในหลายเสียงที่เข้ามาหาเรามากขึ้น และเราก็จะเริ่มรู้ด้วยว่าเสียงไหนที่เป็นคนติชมจากใจ ที่มีประโยชน์กับการทำงานและความสามารถของเรา และเสียงไหนที่อาจเกิดจากแค่อารมณ์ชั่ววูบของคนนั้นมากกว่า ยิ่งเราโตขึ้นก็ยิ่งแยกแยะสองสิ่งนี้ออกค่ะ ว่าคำพูดแบบไหนที่เกิดจากอารมณ์ คำพูดแบบไหนที่เกิดจากความหวังดีจริง ๆ พอเริ่มแยกแยะแบบนั้นได้ เราก็จะเริ่มดึงตัวเองออกห่างจากเสียงเหล่านั้น และหยิบอะไรที่เป็นประโยชน์ ทำให้เราดีขึ้นค่ะ เหมือนเราจะรู้ตัวเองเป็นอัตโนมัติ ว่าอันนี้ไม่ต้องใส่ใจหรอก อันนี้มีประโยชน์ เอามาใช้ปรับปรุงดีกว่า แต่หลัก ๆ คือต้องรักตัวเองเยอะ ๆ ค่ะ ถ้ารักตัวเองและเราดูแลคนที่รักและหวังดีกับเราจริง ๆ เราก็จะโอเคแล้ว เราก็ต้องการแค่นี้”

หากสามารถย้อนกลับไปแก้ไขในอดีตได้สักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบทบาทการแสดง หรือเรื่องในชีวิต ที่อะไรที่เราอยากกลับไปทำให้ดีขึ้นบ้างมั้ย?

“ถ้ามองย้อนกลับไป ก็ไม่ได้มีรีเกรท (regret) อะไรนะคะ เพราะรู้สึกว่าทำดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของตัวเองในวัยนั้นจะทำได้ แต่ถ้าถามจริง ๆ ว่าอยากกลับไปแก้มือกับอะไร (ยิ้ม) ก็คือละครเรื่องแรก ๆ ที่เล่น มันอยู่แล้ว ตอนนั้นก็เป็นละครเรื่องแรก ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากขอเล่นอีกรอบได้มั้ย ขอทำให้ดีกว่านั้นได้มั้ย (หัวเราะ)  ตอนนั้นแบบไม่รู้อะไรเลย มันก็คงดีที่สุดในตอนนั้นแล้วแหละ”

อัพเดทความรักหน่อย?

“ความรักก็ปกติค่ะ พรีมไม่ได้เป็นหวาน ๆ อยู่แล้ว ก็จะมีแบบหวานบ้าง เป็นเพื่อกันบ้าง ไม่ได้หวือหวา ด้วยความที่เป็นพรีมด้วย ก็เป็นคนให้ความสำคัญกับงานค่อนข้างเยอะ เราก็คิดว่าแฟน ๆ และคนที่ติดตามเราก็อยากติดตามเราที่ผลงาน เลยเลือกที่แชร์พาร์ทชีวิตตรงนี้ให้กับทุกคนมากกว่าค่ะ ส่วนคบกันมากี่ปี ก็ไม่ได้นับชัดเจนอะไร เหมือนเขาวนเวียนมานานแล้ว อยู่มาตลอดอยู่แล้วค่ะ”

ประทับใจอะไรในตัวเขา จึงคบกันยาวนานแบบนี้?

“พรีมว่าการปรับตัวกันได้เรื่อย ๆ ค่ะ โตไปด้วยกัน และรับจูนกันไปเรื่อย ๆ และการเปิดใจกันมากพอที่จะปรับกันได้ พรีมว่ามันสำคัญ”

เวลาเข้าฉากเลิฟซีน เราต้องบอกก่อนมั้ย หรือเขาหวงรึเปล่า?

“ไม่เลยค่ะ เพราะงานของเรา เรารู้ดีที่สุด ถ้าจะมีใครห้ามก่อน ก็คงเป็นคุณแม่ ผู้จัดการ แต่ไม่ใช่ว่าจะห้ามก่อนนะคะ แต่งานของเรา ตัวเราจะรู้ดีที่สุด ถ้าเราจะปรึกษาว่างานเหมาะหรือไม่เหมาะ เราคงปรึกษาคุณแม่ ผู้จัดการ ที่ทำงานกับเราก่อนอยู่แล้ว อย่างอื่นคือเรื่องอารมณ์ล้วน ๆ มันไม่เกี่ยวแล้วค่ะ แต่เขาให้อิสระกับพรีมมาก เขาจะบอกว่างานของคุณ คุณรู้ดีที่สุด ก็ปล่อยเลย”

นิยามความรักของ “พรีม” ณ วันนี้ เป็นยังไง?

   “พรีมว่าต้องไม่ได้ทางใดทางหนึ่งมากเกินไป นิยามความรักของพรีมไม่จำเป็นตองหวานมาก หรือเป็นเพื่อนกันมาก ต้องมีขึ้นมีลง มีปรับเข้ามากันโดยตลอด ต้องเป็นก้อนนิ่ม ๆ ที่มันสามารถปรับได้ตามช่วงเวลาต่าง ๆ ค่ะ”

ท้ายสุดเลย อีกหนึ่งความรักคือแฟนคลับ มีอะไรประทับใจบ้าง?

“เราอยู่ด้วยกันมานาน สู้อะไรหลายอย่างมาด้วยกันตลอด เหมือนพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน ยินดีทั้งความสำเร็จ ไม่ว่าสถานการณ์อะไรที่เกิดขึ้น ก็พร้อมยินดีให้กันเสมอ และเป็นกำลังใจที่ดีมาก ไม่เคยไปไหน ไม่ว่าพรีมจะเหนื่อยหรือท้อ ทุกคนก็อยู่กับพรีมมาตลอด ทุกปีที่ผ่านมา รู้สึกขอบคุณมาก ๆ จากใจจริง ๆ และฝาก ‘ซ่อนกลิ่น’ ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วย เชื่อว่าหลาย คนก็คงจะได้รอยยิ้มจากละครเรื่องนี้ คงจะได้เห็นพรีมในลุคที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแน่นอนค่ะ”

เรียกว่าตลอด 10 ปีในวงการได้หล่อหลอมให้ “สาวพรีม” เติบโตอย่างแข็งแรง ทั้งด้านมุมมองความคิด การใช้ชีวิตในวงการ รวมไปถึงฝีมือการแสดง ที่ทำให้แฟน ๆ ได้เห็นบทบาทที่หลากหลายจากเธอ!

เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน