เรียกได้ว่าทำเอาหลายคนให้ความสนใจกันอย่างมากมายอยู่ในขณะนี้ สำหรับพืชที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งอย่าง “กัญชา” ภายหลังจากกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศปลดล็อกกัญชา ให้สามารถปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.2565 โดยทุกส่วนของต้นกัญชา ไม่ถือเป็นยาเสพติด ยกเว้นนำไปสกัดเป็นสารสกัด และมีปริมาณสาร THC (Tetrahydrocannabinol) มากกว่า 0.2%

ส่วนการนำส่วนต่างๆ ของต้นกัญชาไปใช้ สามารถทำได้ แต่การจะนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย และดำเนินการตามคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ เช่น อาหารต้องทำตาม พ.ร.บ.อาหาร, ยาต้องทำตาม พ.ร.บ.ยา และเครื่องสำอางต้องทำตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง และให้ประชาชนสามารถปลูกได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเพียงแต่จดแจ้งการปลูกกัญชาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์กัญชาที่นิยมนำมาใช้ในทางการแพทย์ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีสาร CBD (Cannabinoid) สูง เพราะเมื่อนำมาใช้จะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับสาร THC (Tetrahydrocannabinol) ซึ่งมี 3 สายพันธุ์ที่พบบ่อย ได้แก่ สายพันธุ์ซาติวา (Cannabis sativa) สายพันธุ์อินดิกา (Cannabis indica) และสายพันธุ์รูเดอราลิส (Cannabis ruderalis) ทำให้แต่ละสายพันธุ์มีความโดดเด่น และต้องการการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน

วันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” จะพามาแนะนำการเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกและตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งทั่วโลกมีสายพันธุ์กัญชาอยู่เป็นจำนวนมาก และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเราได้รวบรวมสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะจะนำมาใช้ในการแพทย์มากที่สุดทั่วโลก 5 สายพันธุ์ ดังนี้

“Harle-Tsu”

ฮาร์ละ’ สึ (Harle-Tsu) สายพันธุ์กัญชา Indica Dominant 60% มีเหตุมาจากการผสมระหว่างชนิด Sour Tsunami แล้วก็ Harlequin ออกมาเป็นสายพันธุ์กัญชาที่เปรียบเหมือนยาพารา รวมทั้งให้สาร CBD สูงมากมาย เมื่อเทียบกับสาร THC รูปร่างอยู่ที่ 22 : 1 ถูกประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการรักษาโรคต่างๆ อย่างเช่น ไมเกรน สภาวะหม่นหมอง การนอนไม่หลับ การอักเสบ แล้วก็สภาวะป่วยเป็นโรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับจิตจากสถานการณ์ร้ายแรง (PTSD)

“Cannatonic”

แคนท้องนาโทนิก (Cannatonic) เป็นสายพันธุ์ Indica และก็ Sativa อย่างละ 50% มีสาเหตุจากการผสมระหว่างชนิด Reina Madre รวมทั้ง NYCD เมื่อสกัดออกมาจะได้สาร CBD ราว 6-17% รวมทั้งสาร THC ราว 6% โดยกัญชาสายพันธุ์นี้สามารถแยกประเภทจำนวนสาร CBD ต่อสาร THC ได้ 3 ต้นแบบเป็น 1.มีอัตราส่วนของสาร CBD และก็ THC เสมอกันอยู่ที่ 1 : 1 2.มีอัตราส่วนของสาร CBD มากยิ่งกว่า THC 3.มีอัตราส่วนของสาร THC มากยิ่งกว่า CBD

สำหรับสายพันธุ์แคนทุ่งนาโทนิก อัตราส่วนที่ได้รับการยินยอมรับเยอะที่สุดเป็น 1 : 1 แม้ว่าสาร THC จะส่งผลใกล้กันมากมาย แม้กระนั้นก็มีโรคบางจำพวก ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งผิวหนัง โรคออทิสติกแล้วก็อาการปลายปลอกประสาทเสื่อม ที่จำเป็นต้องใช้สารทั้งสองจำพวกพร้อมๆกันสำหรับเพื่อการรักษา ฉะนั้นกัญชาสายพันธุ์แคนที่นาโทนิก ก็เลยนิยมใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์

“OG Kush CBD”

โอจี ปะทุช ซีบีดี (OG Kush CBD) เป็นสายพันธุ์ Sativa Dominant 60% เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการผสมระหว่างชนิด OG Kush และก็ pureCBD เป็นสายพันธุ์กัญชาที่มีจำนวนสาร CBD รวมทั้ง THC เสมอกันเป็น 10% หรือในอัตรา 1 : 1 ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สายพันธุ์นี้เป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ชอบเอาไปใช้คุณประโยชน์สำหรับเพื่อการช่วยลดความกลุ้มใจ ความเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อ ความเจ็บ รวมทั้งความไม่ปกติของการนอน

“Charlotte’s Web”

ชาร์ล็อตต์ เว็บไซต์ (Charlotte’s Web) กัญชาที่มีชื่อที่สุดในโลก เป็นสายพันธุ์ที่มี Indica Dominant 60% ให้สาร CBD ในจำนวนที่สูง โดยมีอัตราส่วนของสาร CBD ต่อสาร THC อยู่ที่ 27 : 1 ด้วยจำนวนสาร THC ที่ต่ำมากมาย ก็เลยชอบเอาไปใช้ในสินค้าเพื่อสุขภาพ ช่วยบำบัดรักษาอาการเมื่อยล้า เหนื่อย ในลักษณะของน้ำมัน CBD (CBD oil) ด้วยเหตุว่าสายพันธุ์นี้ไม่นำมาซึ่งการเมาและไม่ส่งผลต่อสมอง

ในทางการแพทย์สายพันธุ์นี้ถูกใช้ประโยชน์สำหรับในการรักษาอาการชักในเด็ก จนกระทั่งมีชื่อเสียงมีชื่อเสียงรวมทั้งเป็นสาเหตุของชื่อจากการช่วยเด็กผู้หญิง Charlotte Figi ซึ่งเป็นลมบ้าหมูประเภทร้ายแรง (Dravet’s Syndrome)

“Ringo’s Gift”

ริงโก กิฟต์ (Ringo’s Gift) เป็นสายพันธุ์ Sativa Dominant 60% หรือเป็นกัญชาที่มีความเป็นซาติวาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าอินดิกา เป็นสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นจากการผสมระหว่าง ACDC และก็ Harle-Tsu ซึ่งทั้งคู่ประเภทขึ้นชื่อว่าให้สาร CBD อยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยตั้งชื่อตาม Lawrence Ringo นักขยับเขยื้อนด้านกัญชารวมทั้งเป็นผู้ชำนาญเกี่ยวกับ CBD

ริงโก กิฟต์ มีอัตราส่วนระหว่างสาร CBD และก็ THC อยู่ที่ 20 : 1 ชอบนิยมใช้กับฝูงคนที่มีลักษณะอาการทางสมอง โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน อาการซึมเซา ไม่สบายใจ ภาวการณ์ป่วยเป็นโรคทางจิตจากเรื่องร้ายแรง (PTSD) แล้วก็โรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง

สำหรับประโยชน์ของสาร THC และ CBD ในกัญชา มีดังนี้

  • สาร CBD มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ลดการชักเกร็ง ช่วยให้สงบ ผ่อนคลาย และมีคุณสมบัติยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกหลายชนิดในหลอดทดลอง
  • สาร THC มีผลต่อจิตประสาท ทำให้ผ่อนคลาย นอนหลับ ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และกระตุ้นให้อยากอาหาร

ขอบคุณข้อมูล : OG420s