เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ สภ.กันตัง นายณัฐพล เจะมะอะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.บ่อน้ำร้อน อ.กันตัง และเจ้าหน้าที่ อบต.บ่อน้ำร้อน ได้นำผู้เสียหายที่เป็นลูกบ้านจำนวน 15 ราย ทยอยเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับหญิงรายหนึ่ง ที่มีการแอบอ้างเป็นผู้พิพากษาสมทบประจำศาลจังหวัดตรัง และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตรัง โดยหลอกชาวบ้านว่า มีโควตารับเข้าทำงานในตำแหน่งต่างๆ ในศาล เช่น คนขับรถ ธุรการ ผู้ช่วยอัยการ เลขาฯส่วนตัว แต่ต้องมีการจ่ายค่าประกันก่อนเข้าทำงาน แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ไม่สามารถนำเข้าทำงานได้จริง ทางผู้เสียหายกลับถูกบ่ายเบี่ยงและไม่ได้เงินคืน ตอนนี้สร้างความเสียหายรวมแล้วกว่า 2 ล้านบาท

นายณัฐพล เจะมะอะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 กล่าวว่า มีผู้หญิงรายหนึ่งอายุประมาณ 33 ปี ได้ก่อเหตุหลอกชาวบ้าน โดยอ้างว่าเป็นผู้พิพากษาสมทบประจำศาลจังหวัดตรัง และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตรัง และบอกอีกว่าจะพาเข้าทำงานที่ศาลในตำแหน่งต่างๆ แต่ต้องจ่ายค่าประกันก่อนเข้าทำงานเป็นเงินจำนวน 3-7 หมื่นบาท พร้อมทั้งรับประกันว่าได้ทำงานภายใน 1 ตุลาคมนี้ ขณะเดียวกันมิจฉาชีพรายนี้ยังทำตัวให้น่าเชื่อถือ มีการนำเอกสารราชการมาแอบอ้างว่า รับสมัครพนักงาน และยังแอบอ้างอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยประจำศาลจังหวัดปัตตานี

จากการสอบถามชาวบ้านเบื้องต้นพบว่า มีการจ่ายเงินรอบแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน หลังจากเกิดเรื่องตนได้ทำการสอบถามไปยังทางหน่วยงานยุติธรรมแล้ว พบว่าไม่มีชื่อของหญิงรายดังกล่าวเป็นผู้พิพากษาสบทบแต่อย่างใด และหญิงรายดังกล่าวยังเคยต้องโทษคดีฉ้อโกงในพื้นที่ จ.ปัตตานี มาแล้ว ล่าสุด ตนทราบว่าหญิงรายดังกล่าวได้ซื้อรถกระบะป้ายแดงอีกด้วย ตอนนี้มีลูกบ้านที่ตกเป็นเหยื่อประมาณ 15 ราย ตนได้พาผู้เสียหายบางส่วนมาแจ้งความในวันนี้

ด้าน น.ส.นา (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี กล่าวว่าหญิงรายดังกล่าวเป็นชาวจังหวัดพัทลุง โดยได้มาอาศัยบ้านญาติที่อยู่ในพื้นที่ตำบลบ่อน้ำร้อน อ.กันตัง จ.ตรัง ทีแรกได้มาติดต่อตนและสอบถามว่าสนใจทำงานที่ศาลไหม มีโควตาอยู่ 6 ตำแหน่ง ด้วยความที่เป็นคนในหมู่บ้านและเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน จึงเกิดความเชื่อใจจากนั้นนัดวันเขียนใบสมัคร ในวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งหญิงรายดังกล่าวได้ส่งมาให้ตนผ่านทางไลน์พร้อมทั้งมีการเรียกเก็บเงินค่าประกันรอบแรก เป็นเงินจำนวน 35,800 บาท ซึ่งทีแรกจะโอนผ่านแอพธนาคาร แต่มิจฉาชีพรายนั้นบอกตนว่าไม่ต้องโอนผ่านธนาคาร ให้ใส่ซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้แทน

เงินจำนวนดังกล่าวที่จ่ายให้ไปเป็นเงินเก็บที่ไว้ใช้จ่ายในครอบครัวของตน ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม ตนถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 40,000 บาท ถูกอ้างว่าหัวหน้างานเห็นประวัติของตนแล้ว และมีประวัติการทำงานที่ดีและดูงานธุรการ ก็เลยอยากให้เข้าบรรจุข้าราชการเลยและจะได้เงินคืนในเดือนตุลาคม เมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้ไปหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้อง เอาหัวทะเบียนรถไปวางค้ำเอาเงินก้อน ตนเคยถามว่าทำไมไม่ชวนญาติที่จังหวัดพัทลุงมาเป็นพนักงาน ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ส่วนใหญ่ทำงานเป็นข้าราชการหมด แล้วอยากให้คนทางนี้ได้มีหน้ามีตาทำงานดีบ้าง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีการตั้งกลุ่มไลน์คุยกันสอบถามความคืบหน้า แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด

ขณะที่ น.ส.วา (นามสมมุติ) อายุ 48 ปี ผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า จุดเริ่มแรกตนก็ได้รับไปติดต่อเช่นเดียวกับผู้เสียเสียหายรายอื่นๆ ที่ช่วยหาคนมาทำงานในศาล ซึ่งตนก็มีลูกสาวทำงานอยู่กรุงเทพฯ พอตนอายุเริ่มมากขึ้น จึงอยากให้ลูกออกมาอยู่กับตนสัก 1 คน เพื่อช่วยในงานต่างๆ หรือพาไปโรงพยาบาล ตนเห็นมิจฉาชีพรายดังกล่าวเวลางานบุญก็มีการมาช่วยกันทำแกง ช่วยงานต่างๆ อยู่ตลอด จึงทำให้เกิดความเชื่อใจ เมื่อได้รับการติดต่อก็บอกสนใจงานให้ลูกสาว โดยมิจฉาชีพรายนั้นมีข้อแม้ต้องให้ลูกสาวลาออกจากงานก่อนแล้วก็เริ่มงานภายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

ตนจึงได้ไปหยิบยืมเงินญาติพี่น้องเป็นเงินประมาณ 78,630 บาท โดยได้เสียค่ารถขนของจากกรุงเทพฯ กลับมาที่บ้านเป็นเงินประมาณหมื่นกว่าบาท แต่เมื่อกลับมากลับพบว่า ลูกสาวไม่มีงานทำ ตอนนี้ลูกสาวตนมีอาการเครียดมาก ร้องไห้เกือบทุกวัน เพราะสงสารตนที่โดนหลอก ตนทำงานกรีดยางพารา มีรายได้วันละแค่ 300-400 บาท อาชีพอื่นไม่มี เคยสอบถามไปยังหญิงรายนั้นก็ถูกบ่ายเบี่ยงถูกโกหกมาโดยตลอด อยากให้ตำรวจดำเนินคดีถึงที่สุด.

https://www.youtube.com/watch?v=LP6JB7RKPpM&feature=youtu.be