เมื่อวันที่ 16 ต.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย และแกนนำ นปช. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า อยู่ๆก็นึกถึงเหตุการณ์นี้ 16 ต.ค. 51 วันนี้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นำคณะผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ทั้ง ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผบ.สส. และ ผบ.ตร. ออกรายการสด ”เรื่องเด่นเย็นนี้” ช่อง 3 กดดันให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯ เพื่อเปิดทางเข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแถลงนโยบายก่อนปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเมื่อ 7 ต.ค.51

นายณัฐวุฒิ ระบุว่า ผมเป็นโฆษกรัฐบาลตอนนั้น โทรศัพท์หาผู้สื่อข่าวช่อง 3 คนหนึ่ง ถามว่าพวกนี้มาออกทีวีได้อย่างไร บอกให้เขาตัดสัมภาษณ์สดผมเข้ารายการด้วย แต่ก็เงียบไปไม่ได้รับการติดต่อกลับจนจบรายการ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีบทบาทในการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 และเติบโตมาหลังจากนั้น ต่อมาก็ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และพล.อ.อนุพงษ์ ยังเป็นคนสำคัญในการยึดอำนาจ 22 พ.ค.57 สืบทอดอำนาจเป็น รมว.มหาดไทย เป็น 3 ป. ที่ไม่ยอมไปจนปัจจุบัน

“เทียบกับดราม่า โน้ส-อุดม ที่พูดถึงผู้นำรัฐบาลแล้วต่างกันเป็นฟ้ากับเหว การพูดบนเวทีทอล์กโชว์ คือการใช้เสรีภาพโดยสันติในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ความรับผิดชอบเกิดขึ้นทันที ทั้งต่อผู้ชมหน้าเวทีและสังคมประเทศ อาจถูกโห่ไล่ อาจถูกวิจารณ์ตอบโต้จากคนเห็นต่าง หรือกระทั่งเดี่ยว 14 อาจร้างไร้ผู้ชมอีกต่อไป นี่คือความรับผิดชอบที่เชื่อว่าเจ้าตัวต้องรับรู้และพร้อมน้อมรับ เพียงแต่ผลที่ตามมากลับเป็นไปในทางบวก ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่”

นายณัฐวุฒิ ระบุต่ออีกว่า แต่ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่พยายามรัฐประหารผ่านจอเมื่อ 14 ปีก่อน ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม นอกจากไม่รับผิดชอบใดๆ ยังทำผิดต่อไป ทั้งอยู่เบื้องหลังการตั้งรัฐบาล ปราบปรามประชาชน รัฐประหาร สืบทอดอำนาจ กระชากประเทศถอยหลัง กู้หนี้เกินเพดาน ประชาชนยากลำบาก จนเกิดเสียงสะท้อนจากเวทีเดี่ยวไมโครโฟน ไม่ใช่เพราะประชาชนวิจารณ์รัฐบาล แต่เป็นเพราะเผด็จการเข้าแทรกแซงการเมือง ไม่ใช่เพราะใครทอล์กโชว์ แต่เพราะบางอำนาจอยู่ผิดที่ผิดทาง รั้วดันมาอยู่กลางห้องอาหาร รปภ.ขับอากาศยาน คนตาดีแต่หลับหูหลับตาเชียร์เผด็จการ เราจึงมากันถึงวันนี้.