จากกรณี นายสมรวย โพธิ์กลาง อายุ 65 ปี นายห้อยเลี้ยงควายขาย ขับรถกระบะอีซูซุใส่คอกเหล็ก ทะเบียน บฉ 1820 บุรีรัมย์ พุ่งชนรถกระบะอยู่บนถนน ก่อนเสียหลักพุ่งเข้าบ้านข้างทาง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ที่กำลังป้อนข้าวลูกน้อย 2 คน อายุ 4 และ 5 ขวบ โดยแม่คว้าลูกวัย 5 ขวบไว้ได้ ขณะ น้องแสตมป์ ลูกวัย 4 ขวบ ถูกชนเต็ม ๆ ทำให้เสียชีวิต หลังเกิดเหตุฝ่าย นายสมรวย ได้วิ่งหลบหนีไป กระทั่งตรวจคุมตัวได้ในภายหลัง ขณะที่โลกออนไลน์เฝ้าติดตามเหตุการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง พากันวิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อสงสัยว่า นายสมรวยเมาแล้วขับหรือไม่ ทำไมต้องหลบหนี ไม่รอมอบตัวตอนตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นางสุด โพธิ์กลาง อายุ 64 ปี ภรรยานายสมรวย เปิดเผยว่า สามีมีอาชีพซื้อขายวัว-ควายในพื้นที่ ก่อนวันเกิดเหตุได้ไปซื้อควายมา 1 ตัวจะเอาไปขายที่ตลาดนัด อ.ลำปลายมาศ ขับรถออกจากบ้านไปในเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 7 พ.ย. จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านเวลาประมาณ 09.00 น. บอกว่า ขับรถชนคนแล้วรีบกลับมาก่อน สามีเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุมีอาการวูบ ไม่รู้ว่าพุ่งชนอะไรบ้าง มารู้ตัวตอนที่รถจอดอยู่ในบ้านคนแล้ว หลังจากรู้ตัวได้ออกมาจากรถพยายามจะไปดูว่ามีใครเจ็บหรือไม่ แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งจะเข้ามาทำร้าย จึงวิ่งหนีออกมา จากนั้นได้เข้าไปมอบตัวที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ยืนยันไม่ได้เมาและไม่ได้หลบหนี

ด้าน นายนพดล สิงหพันธ์ อายุ 33 ปี พ่อของน้องแสตมป์ ได้ออกมาระบุว่า ปกติน้องจะสนิทกับปู่กับย่าซึ่งอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช เวลาปิดเทอมจะไปอยู่กับปู่ย่า และเพิ่งกลับมาที่บุรีรัมย์ได้ประมาณ 10 วันเท่านั้น หลังจากปู่กับย่าทราบข่าว ได้นั่งเครื่องมาที่บุรีรัมย์ทันที ซึ่งครอบครัวได้ตกลงกันว่าจะเอาศพน้องไปฌาปนกิจศพที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่ยังไม่มีหมายกำหนดการว่าจะฌาปนกิจศพในวันไหน เพราะทุกคนในครอบครัวยังอยากจะอยู่กับน้องไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้.