เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) 9 อุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ “เดลินิวส์” เปิดใจหลังจากนี้ต้องระวังตัวมากขึ้น ภายหลังแจงเบาะแส คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นำไปสู่การจับนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แจ้งข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 “เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ”

นายชัยวัฒน์ ยืนยันเรื่องเรียกรับเงินวิ่งเต้นโยกย้ายตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ ไม่สามารถดำเนินการได้เพียงลำพัง ซึ่งภายในกรมอุทยานฯ ข้าราชการทราบใครคือคนของผู้บริหาร ทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อข้าราชการที่ต้องการวิ่งเต้นเสนอผู้มีอำนาจ จากนั้นต่อรองราคา แต่ตอนจ่ายเงิน ค่ารักษาตำแหน่งหรือเงินวิ่งเต้นเลื่อนตำแหน่ง ใช้วิธีจ่ายตรงกับผู้มีอำนาจ ส่วนประเด็นเงินค่าวิ่งเต้นไปที่ไหนต่อ ไม่สามารถพูดได้เต็มที่ เพราะไม่มีหลักฐาน หลังจากนี้เป็นหน้าที่ ป.ป.ช. และตำรวจ ปปป. ต้องขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินถูกถ่ายโอนไปที่ไหนบ้าง

นายชัยวัฒน์ ชี้แจงขั้นตอน ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ คู่ขนานไปกับการทำสำนวนของ ป.ป.ช. และตำรวจ ปปป. พร้อมเตือนหากกรรมการสอบข้อเท็จจริงทำงานแบบแบบช่วยเหลือกัน โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง อาจเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายไปด้วย แต่ส่วนตัวเชื่อ หากหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ กรรมการฯ จะสอบข้อเท็จจริงไปตามแนวทาง ป.ป.ช. และตำรวจ ปปป.

นายชัยวัฒน์ เปิดเผย หลังออกมาดับเครื่องชนอธิบดีกรมอุทยานฯ มีโทรศัพท์หลายสายให้กำลังใจ และแนะนำข้อกฎหมายของ สำนักงาน ป.ป.ช. เรื่องคุ้มครองพยาน ไม่ให้โดนกลั่นแกล้ง รวมถึงแนะนำวิธีปกป้องตัวเอง พร้อมยอมรับหลังจากนี้ต้องระวังตัวหนักกว่าเดิม จากเมื่อก่อนระวังตัว 180 องศา ตอนนี้ต้องเพิ่มเป็น 360 องศา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเชื่ออีกฝ่ายคงไม่ยอมเช่นกัน.

ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก “ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช”