เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จากชาวบ้านที่ อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ว่า อยากจะร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ เพราะถูกสามีแจ้งจับหวังจะเอาเงินที่ส่งเสียมาทุกเดือนคืน และอยากให้สังคมช่วยวิเคราะห์ว่า มีคนเคยโดนแบบตนเองหรือไม่

น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี ชาว อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ เล่าว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 60 ตนได้แต่งงานกับนายบี (นามสมมุติ) อายุ 49 ปี คนในหมู่บ้านเดียวกัน มีการจัดงานแต่งเหมือนชาวบ้านทั่วไป สินสอดตอนนั้น 200,000 บาท ทองอีก 4 บาท แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาเดือน ม.ค. 61 สามีเดินทางไปทำงานประเทศไต้หวัน เพราะเป็นอาชีพที่สามีถนัดคือไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่เป็นหนุ่ม โดยก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศได้พากันไปดาวน์รถยี่ห้ออีซูซุ มา1 คัน หลังจากนั้นสามีได้ส่งเงินมาให้ทุกเดือนๆ ละ 30,000-40,000 บาท บอกว่าเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ส่งงวดรถเดือนละ 8,526 บาท ที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายภายในครัวเรือน โดยระหว่างที่สามีทำงานอยู่ต่างประเทศจะติดต่อกันทางเฟซบุ๊ก หรือวีดีโอคอลหากันเป็นประจำ

น.ส.เอ เล่าต่อไปว่า มาถึงปี 64 สามีเริ่มผิดปกติ บอกว่าจะไม่ส่งเงินให้แล้วนะ “เราต่างคนต่างไปเถอะ” ต่อมาได้มีญาติสามีมาเอารถกระบะคืนกลับไป เพราะรถเป็นชื่อของสามี ตนก็ให้ไป แล้วเลิกการติดต่อกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก่อนมาทราบอีกทีว่า เมื่อเดือน พ.ย. 65 สามีกลับมาจากต่างประเทศ พร้อมกับมีแฟนใหม่เป็นชาว จ.สกลนคร ไม่เคยได้เห็นหน้าหรือพูดคุยกัน เพราะสามีไปอยู่บ้านแฟนใหม่ที่ จ.สกลนคร แล้ว กระทั่งวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนกับพ่องงมาก เพราะได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน สภ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ว่า สามีแจ้งความกล่าวหาว่า “ยักยอกทรัพย์” จึงรีบไปพบตำรวจ จนมาทราบเหตุผลว่า สามีต้องการเงินที่ส่งมาให้ใช้ทุกเดือนรวม 37 ครั้ง เป็นเงิน 720,000 บาทคืน

“ตอนนี้ยอมรับว่าครอบครัวทำอะไรไม่ถูก ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย ไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากนี้อยากจะให้ผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายมาชี้แนะ เพราะไม่รู้จะหาเงินจากไหนไปคืนให้สามี อยากจะถามสังคมว่า มีใครโดนในลักษณะนี้หรือไม่ ในใจอยากจะถามสามีว่าให้คิดถึงตอนมาขอบ้าง แต่งงานกันมาก็ไม่เคยทำผิดอะไร ไม่เคยคิดนอกใจ ชาวบ้านรู้ดี แต่ทำไมต้องทำแบบนี้” น.ส.เอ กล่าว