เมื่อวันที่ 9 ต.ค. เวลา 15.30 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.การต่างประเทศ รักษาราชการแทน รมว.การต่างประเทศ แถลงถึงความคืบหน้าสถานการณ์ในประเทศอิสราเอล ว่า คณะทำงานศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินได้มีการประชุมเมื่อเวลา 13.00 น. โดยมี น.ส.พรรณภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้แจ้งพัฒนาการในพื้นที่ให้ที่ประชุมได้รับทราบว่า ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตซึ่งมีทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ รวมกันอย่างน้อย 700 คน และบาดเจ็บ 2,000 กว่าคน มีผู้ถูกจับเป็นตัวประกัน 100 คน สำหรับกรณีของคนไทยนั้น ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 12 ราย แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางการอิสราเอล ส่วนผู้บาดเจ็บมีเพิ่ม 1 ราย จึงรวมมีจำนวนคนไทยที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ 9 ราย จำนวนคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันยังมี 11 คน สำหรับนักศึกษาไทยจำนวน 80 คน ไม่ได้อยู่ในพื้นที่อันตราย และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล แจ้งว่าทั้ง 80 คน ยังปลอดภัยดี

นายจักรพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงมาตรการอพยพคนไทย ซึ่งจากข้อมูลเมื่อเวลา 09.00 น. ของวันนี้ (9 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นอิสราเอล มีจำนวนคนไทยที่แสดงความประสงค์จะขอกลับไทย 1,437 คน และมีผู้ที่ไม่ประสงค์จะเดินทางกลับ 23 คน ทั้งนี้ เราพยายามใช้ทุกช่องทางในการจะอพยพคนไทยกลับประเทศ ทั้งสายการบินเอกชน เที่ยวบินเหมาลำ เครื่องบินของกองทัพอากาศ หรือเครื่องบินของสายการบินไทย ซึ่งเบื้องต้น สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังหาเที่ยวบินพาณิชย์เพื่อนำคนไทยออกจากอิสราเอลกลับสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแต่ยังสามารถเดินทางได้ โดยเครื่องบินพาณิชย์ที่ไม่ใช่ของสายการบินไทย จะนำคนไทยกลุ่มแรกจำนวน 15 คน เดินทางออกจากอิสราเอลในวันที่ 11 ต.ค. นี้ และจะมาถึงไทยในวันที่ 12 ต.ค. ซึ่งจะมีกระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข เตรียมรอรับคนไทยกลุ่มนี้ และทั้ง 15 คน จะได้รับการตรวจทั้งร่างกายและจิตใจ

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับตัวประกันทั้ง 11 คนนั้น เราไม่นิ่งนอนใจ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทยในแต่ละประเทศประสานงานกับประเทศที่จับตัวประกันเราไป เพื่อสนับสนุนให้มีการปล่อยตัว ทั้งนี้ เอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้พบกับเอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำมาเลเซีย และได้แจ้งความกังวลของไทยแล้ว ซึ่งการหารือนี้มีสัญญาณบวก และประเทศอื่นๆ ทั้งจอร์แดน มาเลเซีย อียิปต์ เห็นใจประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบนี้ด้วย

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เพิ่มสายด่วนฮอตไลน์ จากเดิม 30 คู่สาย เป็น 60 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกับโอเพนแชต ชื่อ “ขอรับความช่วยเหลือกรณีคนไทยในอิสราเอล” ที่รองรับได้มากถึง 5,000 คน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะทำให้ญาติเข้ามาสอบถามในโอเพนแชตนั้นได้ รวมถึงเพจเฟซบุ๊กเฉพาะกิจ ชื่อ “กรมการกงสุล ห่วงใยพี่น้องคนไทยในอิสราเอล” เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารและการให้ความช่วยเหลือและติดต่อสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะส่งเจ้าหน้าที่สนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อภารกิจในกรุงเทลอาวีฟภายในสัปดาห์นี้ ในการดูแลคนไทยและภารกิจอพยพ ทั้งนี้ขอชี้แจงว่า การอพยพคนในอิสราเอลยังค่อนข้างลำบาก เพราะยังมีความตึงเครียดสูง การย้ายคนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอาจจะต้องขอทางการอิสราเอล เพื่อป้องกันความสับสน และตนขอย้ำว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนอย่างสูงสุด และจะดำเนินทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนกลับประเทศไทยได้ทุกคน

ผู้สื่อข่าวถามว่าคนไทยกลุ่มแรกที่จะเดินทางกลับประเทศไทย มีกี่เที่ยวบินและด้วยเครื่องบินใด นายจักรพงษ์ กล่าวว่า เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ เพราะขณะนี้ทางการอิสราเอลยังไม่อนุญาตให้นำเครื่องบินกองทัพ หรือเครื่องบินเที่ยวพิเศษเข้าไป จึงยังต้องใช้เครื่องบินพาณิชย์ปกติ โดยกลุ่มแรกจะเป็นผู้บาดเจ็บที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ กำลังจัดทำแผนอพยพคนไทยออกจากอิสราเอลว่าจะอพยพวันไหนและเที่ยวบินใดได้บ้าง สำหรับคนไทยที่ประสงค์เดินทางกลับครั้งนี้ เป็นแบบผู้โดยสารปกติ และรัฐบาลออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ทั้งหมด ส่วนเรื่องการจองตั๋ว สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ จะจัดการให้

เมื่อถามถึงกรณีที่ญาติผู้เสียชีวิตบางรายต้องการให้นำศพกลับมาเมืองไทย นายจักรพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่ต้องรอฝ่ายอิสราเอลเคลียร์พื้นที่ให้ได้ก่อน ขณะนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด หากจะทำอะไรตอนนี้คงลำบาก แต่เรื่องนี้เราทำแน่นอน

ต่อข้อถามว่าแรงงานไทยที่เดินทางกลับประเทศครั้งนี้ จะเสียสิทธิในการไปทำงานในอิสราเอลอีกครั้งหรือไม่ นายจักรพงษ์ กล่าวว่า เรายังอยากจะให้รักษาสิทธิดังกล่าวของแรงงานไทยให้ได้มากที่สุด โดยหากมีอะไร ทางการอิสราเอลจะพิจารณาคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ