เมื่อวันที่ 18 ต.ค. นายสมชาย แสวงการ สว. กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ชี้แจงการจัดทำแอปพลิเคชันรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตใช้เงินเล็กน้อย ไม่ถึง 1.2 หมื่นล้านต่อปี ตามที่มีการเป็นห่วงว่า ขอให้ไปดูหลักฐานการทำแอปเป๋าตัง ของธนาคารกรุงไทย ที่ธนาคารต้องใช้งบประมาณพัฒนาแพลตฟอร์มถึง 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี ต่อประชาชน 40 ล้านคน แต่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีผู้ใช้ 56 ล้านคน มากกว่าแอปเป๋าตัง อย่างน้อยก็ต้องใช้งบประมาณเท่ากันหรือมากกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้งบประมาณเล็กน้อยอย่างที่นายกฯ ชี้แจง ให้ดูตัวอย่างระบบแอปที่ธนาคารกรุงไทยจ่าย ทางออกเรื่องนี้ นายกฯ ควรใช้แอปเป๋าตังของธนาคารกรุงไทยที่มีอยู่แล้ว ไม่ควรไปสร้างแอปใหม่ เพราะต้องเสียเงินถึง 2 ต่อ ทั้งค่าสร้างระบบใหม่ และค่าบริหารดำเนินการรายปี การใช้แอปเป๋าตังไม่ต้องอาย หรือถือว่าเสียหน้า อะไรดีควรต่อยอดใช้ต่อ ตอนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยไปล้มเลิกโครงการรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทั้งเรื่อง 30 บาท และกองทุนหมู่บ้าน

นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนตัวอยากให้ล้มโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เอาเงิน 5.6 แสนล้านบาท ไปทำอย่างอื่น แต่หากไม่ยกเลิก ก็ต้องปรับรูปแบบวิธีการดำเนินการมากมาย ลดจำนวนคนเข้าร่วมโครงการ 56 ล้านคน ไม่แจกแบบหว่านแห แต่แจกเงินให้เฉพาะคนมีรายได้น้อยเท่านั้น ยึดตัวเลขจากคนจนที่มาลงทะเบียนในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 16 ล้านคนเป็นหลัก ก็จะใช้งบเพียงแค่ 1.6 แสนล้านบาท โอนเงินเข้าบัญชีคนเหล่านี้โดยตรง อาจจะโอนให้รายเดือน เดือนละ 1,000 บาท ไม่ต้องจ่ายทีเดียว 10,000 บาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 4 แสนล้านบาท ให้เอาไปจ้างนักศึกษาจบใหม่ ไปทำงานในหมู่บ้าน 76,000 หมู่บ้าน ไปสำรวจวิเคราะห์ข้อมูล ความยากจนประชาชนแต่ละหมู่บ้าน 1 ปี ทำแผนเสนอแนวทางแก้ปัญหาความยากจนเสนอต่อรัฐบาล รวมถึงนำเงินไปจ้างชาวบ้านสร้างฝายกั้นน้ำ ขุดบ่อ สร้างถนน จะเกิดรายได้หมุนเวียน ไม่สูญเปล่า วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้หลายวิธี ไม่จำเป็นต้องแจกเงินอย่างเดียว เศรษฐกิจประเทศขณะนี้เป็นตัวเค มีทั้งขึ้นและลง ต้องเน้นช่วยคนข้างล่าง 16 ล้านคน ให้เงยหน้าได้ โดยการจ้างงาน จะเกิดการหมุนเวียนเงินใน 76,000 หมู่บ้าน

นายสมชาย กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้รัฐบาลตอบคำถามยืนยันให้ชัดเจนคือ แหล่งที่มาของงบประมาณที่ระบุว่า ส่วนหนึ่งต้องไปหาทางเกลี่ยงบประมาณบางโครงการที่ไม่จำเป็น เช่น การจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่อาจต้องเลื่อนออกไปนั้น อาจไปกระทบต่อการชะลอโครงการรถไฟรางคู่ โครงการแลนด์บริจด์ หรือถึงขั้นไปตัดงบประมาณอื่น เช่น เบี้ยยังชีพคนชรา เบี้ยคนพิการหรือไม่ รัฐบาลควรเคลียร์ให้ชัดเจน จะไม่มีการตัดงบประมาณเหล่านี้ ถ้าต้องไปตัดงบเหล่านี้ เชื่อว่าประชาชนคงไม่เห็นด้วยแน่ เพราะคิดว่าจะได้เงินเพิ่มเติม ไม่ใช่ได้เงินก้อนใหม่มา แต่ต้องเสียเงินก้อนเดิมที่เคยได้อยู่.