เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 พ.ย. ที่ บช.ปส. ถนนวิภาวดีรังสิต พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รรท.ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ รรท.รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ รรท.ผบก.สกส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่จำนวน 3 คดี ยึดยาบ้า 11,540,000 เม็ด ยึดทรัพย์มูลค่า 8,690,000 บาท

คดีแรก สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 66 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ได้มีการจับกุมนายวิฑูรณ์ พร้อมพวก 5 คน พร้อมไอซ์ 200 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี จากการขยายผลทราบว่า เครือข่ายของนายวิฑูรณ์ ที่เคลื่อนไหวอยู่ใน จ.สระบุรี มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือเพื่อนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตาม กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย. สามารถจับกุม นายอาทิตย์, นายณคฤตห์, นายจักรพรรณ, น.ส.ทวีวรรณ, น.ส.ศุภมาส และ น.ส.ปรารถนา ได้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 12 หมู่ 9 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พร้อมยาบ้า 7,000,000 เม็ด ซุกช่อนอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะ จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เข้าตรวจค้นบ้านพักจำนวน 7 จุด เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, อาวุธปืน GLOCK 2 กระบอก และอื่นๆ ไว้ตรวจสอบมูลค่ากว่า 8,690,000 บาท

คดีที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ได้ทำการสืบสวนขยายผลหลังจับกุมขบวนการค้ายาทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยจะใช้รถยนต์ 2 คัน ในการลำเลียง เจ้าหน้าที่จึง ทำการสืบสวน และเฝ้าติดตาม กระทั่งกลางดึกของวันที่ 4 พ.ย. พบรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคัน ในเขตพื้นที่ จ.สกลนคร ขับตามกันมุ่งหน้า จ.อุดรธานี ต่อเนื่อง จ.ขอนแก่น เมื่อรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคันขับขี่เข้ามาพื้นที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ แต่รถเป้าหมายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวง ตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตพื้นที่และพื้นที่ข้างเคียง กระทั่งตำรวจทางหลวง 2 กก.4 แจ้งว่าพบว่าพบรถเป้าหมายบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 229 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น จึงนำกำลังเข้า ตรวจสอบพบ นายนัตชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้า 2,540,000 เม็ด ส่วนรถยนต์อีกคัน ถูกจอดทิ้งอยู่บริเวณข้างคลองน้ำบ้านหัวสระ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ในสภาพยางล้อหลังซ้ายแตก ตรวจสอบไม่พบบุคคลหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

คดีสุดท้าย ตำรวจ ปส.4 ทำการสืบสวนเครือข่ายรับจ้างลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ พบมีการติดต่อกันผ่านแอปพลิเคชัน Line ต่อมาทราบว่าไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี มาพักไว้ในพื้นที่ อ.บางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังภาคใต้ ในพื้นที่ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต กระทั่งวันที่ 6 พ.ย. 66 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายขณะขับรถมุ่งหน้าพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจยานพาหนะ ชุมพร ชุดจับกุมจึงเฝ้าสะกดรอยติดตาม พบว่ามีรถยนต์จำนวน 2 คัน ลักษณะขับนำ และมีรถกระบะตู้ทึบเป็นที่ซุกช่อนยาเสพติด โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 จนมาถึง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ก่อนจะเข้าพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และตรวจสอบพบยาบ้า 2,000,000 เม็ด ซุกช่อนอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ จากนี้ ตำรวจ ปส. จะสอบสวนขยายผลเพื่อติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ต่อไป

ช่วงหนึ่งของการแถลง พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ เผยว่า ใน พ.ร.บ.ยาเสพติดฉบับเดิม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบยาเสพติด 1 เม็ด สามารถดำเนินคดีได้ในข้อหาครอบครอง ซึ่งหากมีพฤติกรรมจำหน่าย ก็โดนในข้อหาจำหน่าย แต่ปัจจุบันผ่านมาแล้วเกือบ 2 ปี ยังไม่มีการออกกฎกระทรวงที่ชัดเจน จึงทำให้การปฏิบัติงานในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นปัญหา เพราะว่าเวลาไปจับ ไม่ว่าจะ 5 เม็ด หรือ 50 เม็ด ผู้ต้องหาก็จะอ้างว่าเอาไว้เสพ ไม่ได้คิดจำหน่าย เพียงซื้อมาแล้วเก็บไว้เสพไปเรื่อยๆ ทำให้ส่งไปบำบัดได้ ตนอยากให้กำหนดกฎกระทรวงฯ ให้ชัดเจน

พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ เผยอีกว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจตนมองว่า หากมีกฎกระทรวงชัดเจน ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ​หน้าที่ เพราะถ้าคนที่มียาเสพติด 1-5 เม็ด หากสมัครใจบำบัดก็ไปบำบัด ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้เสพ แต่หาก 5 เม็ดขึ้นไป ก็ผิดข้อหาครอบครองยาเสพติด และหากมีพฤติกรรมจำหน่ายก็โดนข้อหาจำหน่ายด้วย

พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เดือนนี้ ต.ค. 66 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 15 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลาง ยาบ้า 21,836,340 ล้านเม็ด, ไอซ์ 748.52 กก. เฮโรอีน 15.17 กก. และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 103,854,167 ล้านบาท.