เมื่อวันที่ 1 ม.ค.67 ที่วัดตะคร้ำเอน ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี พระครูวิสาลกาญจนกิจ (หลวงพ่อโท) เจ้าอาวาสและพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ได้มารอชมขบวนแห่รูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เป็นประติมากรรมปูนปั้นอายุกว่า 150 ปี สร้างเมื่อ ร.ศ.24 มีหน้าตักกว้าง 29 นิ้ว ซึ่งขบวนแห่มาจากหน้าเทศบาลตำบลท่าเรือพระแท่นมาถึงวัดตะคร้ำเอนโดยมีนางรำกว่า50 คน รำนำหน้าขบวนสมเด็จโตระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร

เมื่อถึงวัดตะคร้ำเอน บรรดาลูกศิษย์และเจ้าหน้าทีของวัดนับ 10 คน ได้ช่วยกันนำรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์โตลงมาไว้ยังวัดโดยมีการสวดทำพิธีกรรมตลอดเวลา หลังจากนั้นได้มีการเจาะใต้ฐานรูปเหมือน สมเด็จพระพุฒาจารย์ 150 ปี โดยการเปิดกรุพระสมเด็จวัดระฆัง ที่อยู่ใต้ฐานรูปเหมือน โดยมีประชาชนและเซียนพระต่างมารอชมพระสมเด็จข้างในอย่างใจจดใจจ่อกันเป็นจำนวนมาก ใช้เวลาเจาะใต้ฐานอยู่ราว 15 นาที พบกับห่อผ้าห่อใหญ่สีดำๆสภาพเก่ามากๆหนึ่งห่อใหญ่ จึงได้นำออกมาวางไว้ในพาน และได้เปิดผ้าออกโดยมีเชือกพันรัดไว้ สิ่งที่ทุกคนได้เห็นคือพระสมเด็จมากมายหลายร้อยองค์ หลังจากนั้นได้มีเปิดให้เช่าไปบูชา องค์ละ 10,000 บาท เซียนพระต่างรีบแย่งเข้ามาบูชากันมากมาย นอกจากนั้นยังพบพระธาตุซึ่งไม่ทราบว่า ด้านในบรรจุอะไรไว้ และยังมีรูปเหมือนพระพุทธจารย์โตองค์เล็กอีก 5 องค์ด้วย

นายอำพล ถาวรโลหะ หรืออาเต๋า เซียนพระพันล้าน อายุ 83 ปี กล่าวว่า เหตุที่เปิดให้บูชาองค์ละ 1 หมื่นบาท เพื่อนำรายได้ทั้งหมดที่ได้นั้นจะมอบให้กับทางวัดเพื่อนำไปสร้างอุโบสถหลังใหม่ที่ทำจากไม้สักทองทั้งหลังมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท โดยจะใช้ระยะเวลาในการสร้างประมาณ 3 ปี สำหรับพระสมเด็จโตนั้นองค์นี้เป็นองค์ที่ 9 และเป็นองค์สุดท้ายแล้วที่ตนเก็บรักษาไว้เพราะองค์ก่อนหน้านั้นได้นำไปมอบให้วัดต่างๆ ทั้ง 3 ภาค ซึ่งก็ขาดอยู่ภาคเดียวก็คือภาคตะวันตก ก็เลยนึกถึง จ.กาญจนบุรี และได้ประสานมาที่วัดและทางหลวงพ่อก็ได้มาดูพระที่บ้านของตน ก็อยากจะเชิญรูปปั้นเหมือนของสมเด็จโตมาไว้ที่วัดเพื่อให้คนได้กราบไหว้ เนื่องจากพระที่สร้างด้วยสมเด็จโตจริงๆมีเพียงแค่เก้าองค์เท่านั้น ซึ่งจะมีโอกาสได้ร่วมบุญกับสมเด็จโตนั้นเป็นโอกาสที่หาได้ยากอีกทั้งยังเป็นปณิธานของสมเด็จโตอีกด้วย ซึ่งใต้ฐานรูปปั้นเหมือนของสมเด็จโตนั้นน้อยคนที่จะรู้ว่ามีพระสมเด็จ ที่สมเด็จโตนั้นบรรจุไว้ก่อนที่ท่านจะมรณะภาพลง ซึ่งพระสมเด็จจำนวนนี้จะมอบให้กับทางวัดเพื่อนำไป ให้ญาติโยมเช่าบูชาเพื่อนำเงินที่ได้ไปก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ อีกทั้งพระทั้งหมดนี้ตนเองจะไม่ใช้คำว่าพระสมเด็จวัดระฆัง แต่จะใช้คำว่า “สมเด็จโตคู่แผ่นดิน” เพราะเป็นพระที่สมเด็จโตสร้างเองกับมือ

ต่อมาทางวัดได้มีพิธี วางศิลาฤกษ์ พระอุโบสถหลังใหม่ โดยมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายอำเภอท่ามะกา นักการเมืองในพื้นที่ ชาวบ้าน ได้เดินเดินทางมาร่วมในพิธีการวางศิลาฤกษ์ในครั้งนี้

ด้าน พระครูวิสาลกาญจนกิจ (หลวงพ่ออนันต์ เขมฺจิตฺโต) รองเจ้าคณะอำเภอท่ามะกาและเจ้าอาวาสวัดตะคร้ำเอน กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นมานั้นเพราะว่าหลังเดิมเวลามีการประกอบพิธี หรือกิจกรรมต่างๆ โดยคนที่มานั่งสมาธิในพระอุโบสถ ซึ่งในเวลาเดียวกันก็จะมีกิจกรรมบวชพระ ทำให้มีเสียงดังรบกวนเวลาคนมานั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรม จึงได้สอบถามกับญาติโยมซึ่งญาติโยมก็เห็นด้วยว่าน่าจะสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นมาเพื่อแยกกันระหว่างบวชพระ กับการทำกิจกรรม เพราะว่าในวัดจะมีคนเข้ามาทำบุญเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งในการสร้างพระอุโบสถหลังนี้จะสร้างขึ้นจากไม้สักทองทั้งหลัง โดยใช้งบประมาณอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปี.