เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 67 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ ได้ให้สมาชิกหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องต่างๆ โดยนายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ เขต 7 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้หารือถึงแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของ จ.ชัยภูมิ ผ่านการจัดประเพณีอัตลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีอย่างหนึ่ง และพัฒนาเป็น Soft Power ของ จ.ชัยภูมิ เนื่องจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ให้เร่งโปรโมตการท่องเที่ยวเมืองรอง และได้มีมติ ครม. ให้วันที่ 12 เม.ย. 67 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมอีก 1 วัน

“ผมจึงอยากให้ จ.ชัยภูมิ ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินที่จะมีการใช้จ่ายในช่วงฤดูสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ทราบว่าปีนี้จะมีการจัดประเพณี “หาบน้ำเขื่อน ฮดธาตุ” ที่วัดพระธาตุชัยภูมิ ต.เก่าย่าดี อ.แก้งคร้อ ซึ่งจะมีการนำน้ำจากเขื่อนลำปะทาว ขึ้นมาปลุกเสก และนำไปรดที่พระธาตุชัยภูมิ ซึ่งเป็นการรังสรรค์ประเพณีใหม่ขึ้นมา ผมมองว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดซอฟต์พาวเวอร์รูปแบบใหม่ของ จ.ชัยภูมิ ซึ่งเห็นว่าได้รับผลตอบรับที่ดีมากในช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว” นายอัครแสนคีรี กล่าว

นายอัครแสนคีรี กล่าวต่อว่า ตนอยากให้กระทรวงการท่องเที่ยว และหน่วยงาน ททท. ช่วยสนับสนุนเร่งประชาสัมพันธ์งานดังกล่าวให้ จ.ชัยภูมิ ด้วย เพราะที่ผ่านมานั้น จ.ชัยภูมิ ถือเป็นจังหวัดที่มีประเพณีที่มีศักยภาพดึงดูดการท่องเที่ยวมหาศาล แต่อัตลักษณ์ของเรายังไม่ได้ถูกชูขึ้นมาให้โดดเด่น เช่น จ.หนองคาย ที่มีประเพณีบุญบั้งไฟ หรือ จ.อุบลราชธานี ที่มีประเพณีแห่เทียนพรรษา ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาร่วมประเพณีที่วัดพระธาตุชัยภูมิ ราววันละ 6,000 คน หากมีการใช้จ่าย หัวละ 1,000 บาท ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนใน จ.ชัยภูมิ เกือบ 40 ล้านบาท ตนจึงอยากฝากให้ หน่วยงานทททและกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ช่วยสนับสนุนงานประเพณีดังกล่าวด้วย.