เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2567 ช่วงเวลาประมาณ 22.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของไทย เกิดเหตุการณ์ “เฟซบุ๊ก-อินสตาแกรม-เมสเซนเจอร์ล่ม” ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากจากทั่วโลก ไม่สามารถล็อกอินเข้าใช้งานได้ตามปกติ สร้างความตื่นตกใจและไม่พอใจแก่ชาวโซเชียลเป็นอย่างมาก ขณะที่มีบางรายระบุว่าเป็น “โจมตีทางไซเบอร์” เนื่องจากพบว่าแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ ก็ประสบเหตุในทำนองเดียวกัน 

ต่อมา ผู้บริหารจาก เมตา อิงค์ บริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม รวมถึงเมสเซนเจอร์ ได้ประกาศผ่านเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “ความขัดข้องทางเทคนิค” ทำให้ผู้ใช้หลายรายไม่สามารถเข้าใช้งานบัญชีของตัวเองได้ และได้ทำการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างที่ผู้ใช้หลายรายไม่พอใจในความไม่สะดวก ก็มีการคาดคะเนว่า เหตุการณ์ระบบล่มดังกล่าว ได้สร้างความเสียหายจนทำให้ เมตา อิงค์ หรือ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ต้องสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมหาศาล นอกเหนือไปจากมูลค่าหุ้นของ เมตา ในตลาดที่ร่วงลงหลายร้อยจุดในระหว่างเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

เมื่อคำนวณจากรายได้เฉพาะที่ได้จากค่าโฆษณาจำนวน 38,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138,584 ล้านบาท) ระหว่างไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 แล้ว อาจประเมินได้ว่า เมตา อิงค์ มีรายได้จากโฆษณาต่อวันอยู่ที่ 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 15,034 ล้านบาท)

เมื่อนำมาคำนวณในระดับย่อยลงไปอีก โดยคิดเป็นรายชั่วโมงและนาที ก็เท่ากับว่า เมตา มีรายได้ชั่วโมงละ 17.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว  626.3 ล้านบาท) และนาทีละ 292,119 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 10.4 ล้านบาท) 

ถ้าหากว่า เมตา อิงค์ ยังคงมีรายได้จากค่าโฆษณาในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราของไตรมาสที่แล้ว ก็เท่ากับเหตุการณ์ระบบล่มเมื่อวานนี้ ทำให้บริษัทต้องสูญเสียรายได้ไปอย่างมหาศาล

ทว่า เมตา อิงค์ เพิ่งแถลงไปว่ารายได้ที่นับถึงสิ้นปี 2566 ของบริษัทคือ 41,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.49 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นการนับรวมทั้ง “เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด” จึงเป็นไปได้ว่า เมตา อิงค์ อาจจะไม่ได้สูญเสียเม็ดเงินไปมากขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงตัวเลขที่เกิดจากการประเมินด้วยข้อมูลในอดีต ซึ่งคงต้องรอดูตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ เมตา อิงค์ จะประกาศออกมาเท่านั้น จึงจะได้รู้มูลค่าความสูญเสียที่แท้จริง 

ที่มา : ladbible.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES