จากกรณี วัยรุ่น 5 คน รุมทำร้าย นายพิเชษฐ โสคติ อายุ 41 ปี อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จนได้รับบาดเจ็บทั้งตัว ทั้งที่ฝ่าย นายพิเชษฐ เพิ่งเข้าไปช่วยหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่น รักษาอาการบาดเจ็บจากกระจกบาด โดยสาเหตุที่โดนทำร้าย มาจากเรื่องไม่พอใจ นายพิเชษฐ ไม่ยอมพาไปรักษายัง รพ. ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

ห้าวทะลุกรง! หิ้วแก๊งรุมตื้บกู้ภัยฯฝากขัง ไม่สำนึกท้าวิวาทผู้ต้องขังห้องอื่น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายพิเชษฐ โสคติ อายุ 41 ปี เจ้าหน้ากู้ภัยที่ถูกทำร้ายร่างกาย เดินทางเข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว หลังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วเสร็จ เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า ตนได้รับแจ้งจากวิทยุว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บกระจกบาดข้อเท้าที่บ้านพักในแขวงออเงิน เขตสายไหม ซึ่งเห็นว่าเป็นเหตุที่ไม่ใหญ่มาก จึงเดินทางไปคนเดียว ซึ่งระหว่างทาง ตนได้โทรฯ สอบถามอาการกับผู้บาดเจ็บ โดยเป็นเสียงผู้หญิงรับสาย คาดว่าเป็นแฟนของ นายภูมิ ผู้บาดเจ็บ บอกว่า นายภูมิมีอาการเสียเลือดมาก แต่ยังมีสติ ทั้งนี้ตนสังเกตว่า ปลายสายพูดจาวกไปวนมา จึงคิดว่าน่าจะเมา

นายพิเชษฐ ยังบอกอีกว่า พอไปถึงที่บ้านที่เกิดเหตุ ก็เห็นว่ามีคนอยู่ 4-5 คน โดยนายภูมิคนเจ็บ ได้ใช้ผ้าพันข้อเท้าแล้วเดินไปเดินมา เมื่อตนเห็นว่า ผู้บาดเจ็บยังอยู่ในภาวะที่ปลอดภัย จึงลงไปช่วยแล้วพาเดินมาทำแผลเบื้องต้นที่ท้ายรถ แต่ทว่าในระหว่างนั้น นายภูมิได้หันไปคุยกับเพื่อน พูดจาประมาณว่า “เอาเคมาดมหน่อย” เมื่อตนได้ยินเช่นนั้น จึงเห็นว่า ผู้บาดเจ็บน่าจะมีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงตัดสินใจขึ้นมาบนรถ เพื่อวิทยุแจ้งให้สายตรวจมาที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นไปตามระบบที่ว่า หากผู้ได้รับบาดเจ็บมีการกระทำความผิดตามกฎหมาย หรือต้องสงสัยว่าอาจจะทำความผิด ให้แจ้งสายตรวจตำรวจมาช่วยสังเกตการณ์ อีกทั้งเพื่อเป็นการป้องกันตนเองด้วย เพราะเกรงว่าหากขึ้นรถกู้ภัยแล้ว อาจจะมีสารเสพติดตกหล่นบนรถ หรืออาจจะทำอันตรายกับตนภายหลัง

แต่ทว่ากลุ่มวัยรุ่นทั้ง 4-5 คนนั้น กลับคิดว่าตนจะไม่ไปส่ง จึงคว้าอุปกรณ์มีด ก้อนหิน และอิฐที่อยู่ในบริเวณนั้น เพื่อที่จะมาเจาะยางรถยนต์ ตนจึงเปิดกระจก พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอเพื่อถามว่า “จะทำอะไร อย่าทำแบบนี้มันไม่ดี” แต่พวกนั้นก็ไม่หยุด และเดินปรี่มาที่ตน พร้อมกับถอยรถกระบะมาปิดท้าย เพื่อไม่ให้ตนสามารถขยับรถได้ ตนจึงรีบล็อกรถและวิทยุขอทีมช่วยเหลือด่วน

นายพิเชษฐ ยังบอกต่อว่า กลุ่มวัยรุ่นก็ยังไม่หยุด ได้พยายามที่จะทุบรถและทุบกระจก จะเข้ามาทำร้ายตนให้ได้ ตนจึงรีบปีนไปที่บริเวณด้านหลัง เพื่อเปิดประตูข้าง แล้ววิ่งหนีออกมาจนถึงบริเวณปากซอย พร้อมกันนี้ ได้พยายามโทรฯ ไปที่ศูนย์วิทยุของป่อเต็กตึ๊ง เพื่อแจ้งว่ากำลังถูกทำร้ายร่างกาย อีกทั้งพยายามที่จะรอว่า รถสายตรวจจะมาเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 5 คน ได้ขับรถกระบะออกจากซอย ซึ่งตอนแรกตนเข้าใจว่าจะขับหลบหนี แต่กลายเป็นว่าขับพุ่งมาหาตน ตนจึงวิ่งเข้าไปหลบในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว ไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ จึงจอดรถและกรูวิ่งไล่พร้อมด้วยอาวุธมีด

ตนจึงวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือที่สำนักงานขายของหมู่บ้าน แต่ไม่มีใคร ตนจึงพยายามวิ่งไปหลบบริเวณด้านหลังของอาคารสำนักงานขาย ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นก็ตามมาทัน ก่อนที่จะรุมชกต่อยตน แล้วลากออกมาที่บริเวณด้านนอก จากนั้นจึงใช้อาวุธมีดจะฟันตนที่บริเวณคอ แต่ตนหลบได้ หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่น จึงเข้ามาล็อกตนและพยายามที่จะใช้มีดมาฟัน เล็งที่คออีกครั้ง ตนจึงพยายามหลบ แต่ปลายมีดก็เฉี่ยวบริเวณหลังด้านซ้าย เป็นรอยแผล

เท่าที่จำได้ เห็นว่าวัยรุ่นผู้ชายทั้ง 4 คน รุมทำร้ายตนทั้งหมด แม้กระทั่ง นายภูมิ คนที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้า ส่วนผู้หญิงที่มาด้วยกันนั้น ได้พูดจาทำนองยั่วยุ ส่งเสริมและถ่ายคลิประหว่างก่อเหตุ ทั้งนี้ ตนพอได้ยินว่า มีการบอกให้ส่งอาวุธมีด ตนจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูด เพราะจังหวะนั้นเป็นช่วงชุลมุนและตนมึนศีรษะ จำอะไรไม่ค่อยได้ ก่อนที่คนในหมู่บ้าน มูลนิธิ และสายตรวจจะเข้ามาช่วย

นายพิเชษฐ ยืนยันว่า ตนต้องการจะไปส่งผู้บาดเจ็บ เพียงแต่ต้องทำตามระบบที่ต้องแจ้งสายตรวจตำรวจมาช่วยเป็นพยานหรือสังเกตการณ์เพื่อความปลอดภัย ซึ่งตนก็เข้าใจในตัวคนเจ็บว่า ต้องการจะไปโรงพยาบาล แต่ควรจะต้องมีจิตสำนึก ไม่ใช่ไม่พอใจ แล้วจะลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายและทำลายทรัพย์สิน ถือว่าเป็นเหตุที่เกินไปอย่างมาก มองว่าอาจจะไม่พอใจในเรื่องที่ตนต้องแจ้งตำรวจมาสังเกตการณ์ แต่ย้ำว่าเป็นไปตามระบบ เท่าที่ได้ยิน แก๊งทั้ง 5 คนพูดอ้างว่า ที่เกิดเหตุเป็นบ้านของพวกเขา และได้ยินว่าหนึ่งในนั้น เป็นเจ้าของทำธุรกิจปั๊มน้ำมัน

“…ผมยินดีที่จะช่วยเหลือคนทุกกรณี ทำงานเป็นอาสาสมัครมากว่า 20 ปี ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ รู้สึกบั่นทอนบ้าง แต่ยืนยันว่า จะไม่เลิก เพราะมองว่า คนที่ไม่ดีก็มีแค่ไม่กี่คน คนดี ๆ และยังเห็นคุณค่าของตนยังมีอีกเยอะ จึงตั้งใจจะทำงานอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือทุกคนต่อไป หลังเกิดเหตุ ไม่มีญาติของฝั่งผู้ก่อเหตุติดต่อมาหาสักราย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเวรกรรมที่ทำกันมาในอดีต ก็รอดูกันต่อไป หากไม่มีการรับผิดชอบฝั่งตน ก็ขอให้เวรกรรมทำงาน…” นายพิเชษฐ กล่าว

สำหรับการเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในครั้งนี้ นายพิเชษฐ ต้องการที่จะให้ทางพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีเพิ่มเติมกับกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 5 ราย ในข้อหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาวัยรุ่นทั้ง 5 ในข้อหาพยายามฆ่า ทำให้เสียทรัพย์ บุกรุก พกพาอาวุธมีด และแจ้งข้อหานายภูมิเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา คือ ครอบครองเคตามีน