จากกรณีเหตุการณ์ฝนตกหนักจนน้ำท่วม เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งที่เป็นพื้นที่ทะเลทราย ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกหวั่นเกรงว่า จะเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักเช่นนี้ในอีกหลายพื้นที่ โดยเฉพาะประเทศไทย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กของ Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า “…สวัสดีวัน Earth day ด้วยความร้อน 43 องศา ทะเลร้อนเกิน 32 องศาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไม่รักโลกตอนนี้ ก็ไม่มีเวลาเหลือให้รักแล้วครับ..” ภายหลังจากข้อความดังกล่าวถูกแพร่หลายออกไปปรากฏว่ามีคนเข้ามาแชร์และกดไลก์กันอย่างต่อเนื่อง พร้อมแสดงความเห็นลักษณะวิตกกังวล ว่าจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปอีกยาวนาน

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ดร.ธรณ์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับปรากฏการณ์ “โลกเดือด” ไว้ว่า “…ขอต้อนรับเพื่อนธรณ์สู่ประสบการณ์โลกเดือด แม้เอลนีโญใกล้จบ แต่ความร้อนยังไม่จบ บวกกับโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น นี่คือโลกเดือด! ภาพที่เพื่อนธรณ์เห็นคือปริมาณฝนสะสมในอีก 3 วันข้างหน้า ดำสนิทเกือบทั้งประเทศ หมายถึงแทบไม่มีฝนจริงจังเลย ยกเว้นภาคใต้ตอนล่าง ฝนที่มาในช่วงนี้ก็ต้องระวัง ลมแรง ตกหนัก ฟ้าผ่า ไฟดับ น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่เล็ก ๆ เป็นฝนโลกร้อน ทะเลร้อน น้ำระเหยเยอะ อากาศร้อน เมฆจุไอน้ำได้เยอะขึ้น

สำหรับพื้นที่อื่น โลกจะเดือดต่อไป ร้อน แล้ง แห้ง แถมบางพื้นที่อาจมีฝุ่นซ้ำเติม คนที่ทำมาหากินแบบพึ่งพาธรรมชาติ ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์บก/สัตว์น้ำ ต้องระวังให้หนัก เพราะฝนยังไม่มา อุณหภูมิยังไม่ลด ทางแก้หรือครับ ? ยากมาก ๆ เพราะเราทำร้ายโลกมาถึงตอนนี้ นับร้อยปีที่ก๊าซเรือนกระจกสะสมบนฟ้า ทะเลช่วยดูดซับความร้อนไว้

แต่ตอนนี้ทะเลบอกไม่ไหวแล้ว มันจึงมาถึงจุดที่ต้องบอกว่า ต้องหาทางรอด ปรับตัวเท่าที่ทำได้ โลกเดือดยังส่งผลต่อเศรษฐกิจรุนแรง ทั้งความแปรปรวนของลมฟ้าท้องน้ำ เรื่อยไปจนถึงภัยพิบัติ ทั้งพูดทั้งเขียนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว หวังว่าเพื่อนธรณ์คงเข้าใจ แต่ถ้ายังอยากรู้เพิ่ม ฟัง FM99 เที่ยงครึ่ง-บ่ายสอง จะพูดเรื่องนี้ให้เยอะเลยครับ เพราะโลกเดือดแล้ว เราแย่แล้วครับ…”

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat และ windy.com