นายประมิต เมฆฉาย ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เปิดเผยว่า วันนี้ (23 เม.ย. 67) ได้ยื่นหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เรื่องขอให้ปลดหรือย้ายผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดชอบ กรณีจอดรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (เอ็นจีวี) จำนวน 486 คัน และการบริหารงานล้มเหลวเสียหายต่อ ขสมก.

ตามที่ สร.ขสมก. ได้ประชุมคณะกรรมการบริหาร สร.ขสมก. ครั้งที่ 6/2567 กรณีเร่งด่วน เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 67 ที่ประชุมมีมติให้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี จากการที่ ขสมก. ได้สรรหาว่าจ้าง นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล เข้ามาบริหารงานตำแหน่ง ผอ.ขสมก. ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 64-ปัจจุบัน (23 เม.ย. 67) รวม 2 ปี 6 เดือน การบริหารงานล้มเหลว ไม่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่เสนอไว้กับ ขสมก. สร้างความเสียหายให้กับ ขสมก. และรัฐ หลายประการ เกิดความระส่ำระสายในองค์กรที่ผู้นำองค์กรขาดภาวะผู้นำ ขาดความเป็นนักบริหารมืออาชีพโดยสิ้นเชิง สรุปประเด็นสำคัญคือ

รถเมล์เอ็นจีวี ยี่ห้อ BONLUCK หรือ BLK 486 คัน หยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 66 จนถึงปัจจุบัน สร้างความเสียหายต่อ ขสมก. และให้บริการประชาชนจำนวนมาก เนื่องจาก ขสมก. ทำสัญญาซื้อขาย และจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถเมล์เอ็นจีวี ตามสัญญาเลขที่ ร.51/2560 ลงวันที่ 27 ธ.ค. 60 กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ที่มี บริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) (SCN) และ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ (CHO) จำนวน 489 คัน หลังจากการรับมอบเริ่มต้นตั้งแต่ต้นปี 61 ขสมก. นำรถบรรจุในเส้นทางการเดินรถต่างๆ ออกวิ่งให้บริการประชาชนด้วยดีมาโดยตลอด การซ่อมแซม และการบำรุงรักษารถเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาทุกประการ ขสมก. จ่ายเงินค่าจ้างซ่อม ทุกวันที่ 10 ของเดือนทุกเดือนไม่มีปัญหาใดๆ

หลังจากนั้น กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินค้างจ่ายเงินเดือนค่าจ้างช่างของบริษัทฯ และ บริษัท ช ทวีฯ ไม่มีเงินค่าจ่ายให้ซัพพลายเออร์ทั้งหลายเป็นค่าชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ไม่มีการซื้อสำรองอะไหล่ในการซ่อมรถทำให้รถเสียเพิ่มมากขึ้น การที่ไม่มีอะไหล่ซ่อมเพียงพอ บริษัท ช ทวีฯ ถูก ขสมก. ปรับเงินจากกรณีรถเสีย และรถเมล์ไม่ได้ออกวิ่งเป็นจำนวนเงินสูงมาก รถเมล์เอ็นจีวีที่เสียมาก ส่งผลกระทบต่อให้บริการประชาชน ในเส้นทางต่างๆ มากกว่า 20 เส้นทาง ค่าปรับที่ ขสมก. ปรับ บริษัท ช ทวีฯ ขสมก. ไม่ได้หักกลบลบหนี้ใดๆ บริษัทฯ ค้างจ่ายอยู่หลายสิบล้านบาท โดยปกติการจ่ายเงินค่าจ้างซ่อมของบริษัทผู้รับจ้างมีค่าปรับใดๆ เกิดขึ้นในแต่ละเดือน ขสมก. ต้องหักกลบลบหนี้ก่อนที่เหลือจึงจะจ่ายเงินให้แก่บริษัทผู้รับจ้าง กรณีเช่นนี้ ขสมก. เสียประโยชน์หรือไม่ และยังไม่ดำเนินการใดๆ จนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ช่วงปลายปี 66 บริษัท วินสตาร์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ทำหนังสือมายัง ขสมก. แจ้งว่า บริษัท ช ทวีฯ ไม่ได้จ่ายค่าจ้างซ่อมแซม และบำรุงรักษารถเมล์เอ็นจีวีให้กับบริษัท วินสตาร์ฯ เป็นที่มาให้ ขสมก. รับรู้อย่างเป็นทางการว่า บริษัท ช ทวีฯ ทำสัญญาจ้างช่วงการซ่อมให้แก่ บริษัท วินสตาร์ฯ เหตุการณ์กรณีการจ้างช่วงมีการกำหนดข้อห้ามไว้ในสัญญาข้อ 18 “ห้ามผู้รับสัญญาจะโอนสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญานี้ให้แก่ผู้อื่นดำเนินการ (จ้างช่วง) ตามสัญญานี้แทนผู้รับสัญญา เว้นแต่ได้รับหนังสือยินยอมจากองค์การ” กรณีนี้ นายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. รับรู้ว่า บริษัท ช ทวีฯ จ้างช่วงการจ้างซ่อมกับ บริษัท วินสตาร์ฯ ตั้งแต่กลางปี 66 บริษัท ช ทวีฯ ปฏิบัติการผิดสัญญาการจ้างซ่อม แต่ นายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ กับ บริษัท ช ทวีฯ ที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขสัญญา ไม่ได้บอกเลิกสัญญา บริษัท ช ทวีฯ แต่กลับปล่อยให้ บริษัท ช ทวีฯ กระทำผิดสัญญาต่อเนื่อง เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท ช ทวีฯ (มหาชน) และบริษัท วินสตาร์ฯ หรือไม่

นอกจากนี้ บริษัท ช ทวีฯ ค้างจ่ายค่าซ่อมรถกับ บริษัท วินสตาร์ฯ ส่งผลให้ บริษัท วินสตาร์ฯ ไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้กับช่าง ช่างมีการหยุดการซ่อมรถประท้วง ตั้งแต่ 29 ธ.ค. 66 ทำให้รถเมล์เอ็นจีวีไม่ได้เสียแต่อย่างใด จึงจอดอยู่ในอู่ ขสมก. ทั้งหมด ไม่ได้นำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน นายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงกำกับควบคุม ดูแล การนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน อ้างว่ารถเมล์เอ็นจีวี 486 คันเสียจึงจอดทั้งหมด จากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ หลังปีใหม่ 67 ช่างบางส่วนกลับเข้ามาปฏิบัติงาน มีบางเขตการเดินรถนำรถเมล์เอ็นจีวีออกวิ่งให้บริการไม่กี่สิบคัน ช่างก็หยุดการซ่อมอีกจนถึงปัจจุบันรถเมล์เอ็นจีวีจอดสนิททั้ง 486 คัน เป็นเวลา 114 วัน ส่งผลกระทบคือ

ประชาชนที่เคยใช้บริการรถเมล์เอ็นจีวีกว่า 20 เส้นทางเดือดร้อนในการเดินทาง ขสมก. แก้ปัญหาเฉพาะหน้า นำรถโดยสารธรรมดา (รถเมล์ร้อน) ครีม-แดง จากสายอื่นเข้ามาช่วยวิ่งในสายที่มีรถเมล์เอ็นจีวีอยู่เดิม สายละ 6-7 คัน แต่ไม่เพียงพอต่อการใช้บริการประชาชน เกิดเรื่องร้องเรียนจากผู้ใช้บริการจำนวนมาก กรณีรอรถเมล์นานหลายชั่วโมง ต้องไปใช้บริการรถไฟฟ้า รถแท็กซี่ ประชาชนเดือดร้อนต้องเสียค่าเดินทางที่สูงขึ้น นายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนต่างๆ ว่าประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ ขสมก. จัดรถเมล์มาช่วยวิ่งทดแทนได้ ทั้งที่ความเป็นจริงประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่ ขสมก. กลับเพิกเฉยกลับให้ข่าวว่าประชาชนไม่เดือดร้อน

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่รถเมล์เอ็นจีวีเริ่มจอดไม่นำรถออกวิ่งให้บริการ ตั้งแต่ 29 ธ.ค. 66 เป็นต้นมา เกือบ 4 เดือน บริษัท ช ทวีฯ ไม่ส่งมอบรถเมล์ให้ ขสมก. นำมาออกวิ่งได้ กระทำผิดเงื่อนไขสัญญาข้อ 21 และสัญญาข้อ 18 อยู่เนืองๆ แต่ นายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. ที่มีหน้าที่โดยตรงบอกเลิกสัญญา แต่กลับเพิกเฉย ไม่ดำเนินการใดๆ อ้างเหตุที่รถเมล์เอ็นจีวีออกวิ่งไม่ได้ กลับไปเร่งรัดจัดหารถเมล์มาทดแทน เสนอโครงการจัดหารถเมล์ โดยการเช่าจำนวน 350 คัน อย่างเร่งรีบ ทั้งที่ควรต้องแก้ไขปัญหารถเมล์เอ็นจีวี 486 คันก่อน คือบอกเลิกสัญญา และเร่งจัดหาผู้รับจ้างซ่อมรายใหม่มาซ่อมรถเมล์เอ็นจีวี ควรทำทันที ไม่ใช่ประวิงเวลาเป็นข้ออ้างจัดหาเช่ารถใหม่ 350 คัน ใช้เวลาไม่นานก็ได้ผู้รับจ้างรายใหม่แล้ว ซึ่งปัญหารถเมล์เอ็นจีวี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบรถ แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้รับจ้างซ่อม คือ บริษัท ช ทวีฯ และรถเมล์เอ็นจีวีใช้งานมา 5 ปีกว่า หากบำรุงรักษารถเป็นไปตามมาตรฐานยังใช้งานได้อีกหลายปี การประวิงเวลาบอกเลิกสัญญา ไม่จัดหาผู้รับจ้างรายใหม่ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่

เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 67 ขสมก. ออกคำสั่งที่ 02/2567 เรื่องโอนย้ายรถเมล์ร้อน และรถโดยสารปรับอากาศ (รถเมล์แอร์) ระหว่างเขตการเดินรถที่ 1-8 โดยย้ายรถครีมแดง และรถเมล์แอร์ในเขตการเดินรถที่ไม่มีรถเมล์เอ็นจีวีไปยังเขตการเดินรถที่มีรถเมล์เอ็นจีวี การย้ายดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน เป็นวงกว้างทั่วทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากเดิมกระทบเฉพาะเขตการเดินรถที่ 1, 2, 3, 5 ที่มีรถเมล์เอ็นจีวี จึงส่งผลกระทบทั่วทั้ง ขสมก. เนื่องจากการเกลี่ยรถให้มีจำนวนลดลงในทุกๆ เขตการเดินรถ จึงส่งผลกระทบทั้งหมด

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 67 ขสมก. ได้ออกคำสั่งที่ 158/2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผู้อำนวยการเขตการเดินรถ และคณะกรรมการตรวจรับการซ่อมรถเมล์เอ็นจีวีเป็นการเลี่ยงบาลี หาคนมารับผิดชอบแทนการกระทำนายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. ที่ปล่อยปละละเลย จนเหตุการณ์รถเมล์เอ็นจีวีต้องหยุดวิ่งให้บริการทั้งหมด ขสมก. ได้รับความเสียหายด้านการหารายได้ และให้บริการประชาชน ผอ. ในฐานะรักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ มีความรับผิดชอบโดยตรงในการกำกับ ควบคุม ดูแล การจัดการเดินรถ ขสมก. กำลังหาทางโยนความรับผิดที่ตนเองกระทำขึ้น โยนให้ผู้บังคับบัญชาระดับล่างเป็นแพะรับบาปใช่หรือไม่

ความเสียหายต่อ ขสมก. ที่เป็นตัวเงินนับตั้งแต่รถเมล์เอ็นจีวี 486 คัน หยุดวิ่งให้บริการวันที่ 29 ธ.ค. 66 จนถึง 20 เม.ย. 67 รวม 114 วัน คิดเป็นตัวเงินนำรถออกวิ่งให้บริการรายได้ประมาณ 5,000 บาทต่อคัน รถจำนวน 486 คัน จำนวนวันที่หยุด 114 วัน คิดเป็นวัน วันละ 2,430,000 บาท คิดเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 277,020,000 บาท หากยังไม่จัดการให้รถออกวิ่งได้ ขสมก. จะมีความเสียหายต่อวันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ใครจะรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ขสมก. และรัฐ

ที่ผ่านมา สร.ขสมก. ยื่นหนังสือ 3 ฉบับ ถึงนายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. ได้แก่ หนังสือที่ สร.ขสมก./001/2567 ลงวันที่ 2 ม.ค. 67 เรื่องให้แก้ไขปัญหาการเหมาซ่อม บริษัท ช ทวีฯ หนังสือที่ สร.ขสมก./020/2567 ลงวันที่ 17 ม.ค. 67 เรื่องขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงการจ่ายค่าเหมาซ่อม และหนังสือที่ สร.ขสมก./050/2567 ลงวันที่ 14 ก.พ. 67 เรื่องขอให้ยกเลิกสัญญาเหมาซ่อม เรียกร้องให้เร่งรัดแก้ไขปัญหารถเมล์เอ็นจีวีเร่งด่วน แต่ นายกิตติกานต์ ผอ.ขสมก. ไม่ดำเนินการใดๆ อ้างต่างๆ นานา เพื่อประวิงเวลาในการบอกเลิกสัญญา ได้มีหนังสือที่ สกม.(กนก.)0193/2567 ลงวันที่ 23 ก.พ. 67 เรื่องการยกเลิกสัญญาเหมาซ่อม และหนังสือที่ ขสมก.579/2567 ลงวันที่ 11 เม.ย. 67 เรื่อง การยกเลิกสัญญาเหมาซ่อม ตอบ สร.ขสมก. อ้างเหตุผลสารพัดทั้งๆ ที่อำนาจในการบอกเลิกสัญญาเป็นของ ผอ.ขสมก. โดยตรงตามพระราชบัญญัติ จัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560

นอกจากนี้การบริหารงานบุคคลที่รวบอำนาจการบริหารไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่กระจายอำนาจให้กับฝ่ายต่างๆ ที่มีอยู่ 3 ฝ่าย ทั้งๆ ที่ตำแหน่งว่างในระดับรองผู้อำนวยการ ได้แก่ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ฝ่ายการเดินรถองค์การ, ตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร, ตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถเอกชน ร่วมบริการ แต่กลับแต่งตั้งตนเองรักษาการแทนรองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ และรองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถเอกชนร่วมบริการ มายาวนาน อำนาจเบ็ดเสร็จจึงอยู่ที่ผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียว

ส่วนอัตรากำลังพนักงานขับรถโดยสาร และ พนักงานเก็บค่าโดยสาร ถือเป็นหัวใจการบริหารงาน ขสมก. มีหน้าที่ให้บริการประชาชนทุกวัน เดิมอำนาจรับสมัครบรรจุแต่งตั้งพนักงานขับรถโดยสาร และพนักงานเก็บค่าโดยสาร เป็นของเขตการเดินรถ แต่ละเขตการเดินรถ แต่ผู้อำนวยการได้ยึดอำนาจรวบอำนาจให้มารับสมัครที่สำนักงานใหญ่ สร้างปัญหากระทบอย่างหนักต่อเขตการเดินรถ การรับสมัครดำเนินได้ล่าช้ามาก อัตรากำลังส่วนนี้ขาดอยู่ตำแหน่งละ 1,300 กว่าอัตรา ทำให้ไม่มีพนักงานทำหน้าที่ขับรถ และเก็บค่าโดยสาร รถออกวิ่งไม่ได้ มีรถออกวิ่งให้บริการประชาชนไม่เพียงพอ เดือดร้อน ขสมก. บกพร่องเรื่องการให้บริการประชาชน เสียหายต่อการหารายได้ เป็นเหตุให้ขาดทุนเดือนละ 700 กว่าล้านบาทต่อเดือน

ขณะที่การใช้งบประมาณไม่เกิดความคุ้มค่าสมประโยชน์ ใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย นำไปปรับปรุงอาคารสถานที่ ที่สำนักงานใหญ่มากมาย โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ สั่งการให้ย้ายหน่วยงานที่เคยอยู่ในสำนักงานใหญ่ออกไปอยู่ตามอู่ต่างๆ เช่น ย้ายสำนักงานกฎหมายไปอยู่ที่อู่กำแพงเพชร ย้ายฝ่ายการเดินรถเอกชนร่วมบริการ ไปอยู่ที่อู่สวนสยาม ต้องขนย้ายและใช้งบประมาณปรับปรุงสำนักงานใหม่ที่จะย้ายไปอยู่เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ประสานงานภายในหน่วยงานสร้างความลำบากในการทำงานให้กับพนักงานที่ต้องประสานงานกับสำนักต่างๆ ที่อยู่ในสำนักงานใหญ่อยู่ตลอดเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มใช้รถเดินทางไปประสานงานติดต่องานต่างๆ ใช้งบประมาณไม่เหมาะสมกับภาระหนี้สินหน่วยงานที่มีหนี้สินสะสมอยู่จำนวนมาก

สร.ขสมก. เห็นว่าหากให้ นายกิตติกานต์ บริหารงาน ขสมก. ต่อไป ในฐานะ ผอ.ขสมก. มีแต่จะสร้างผลกระทบ สร้างความเสียหายต่อ ขสมก. ต่อรัฐ และประชาชนมากยิ่งขึ้น ขอให้นายกรัฐมนตรี มีบัญชาสั่งการให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผอ.ขสมก. และหาผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วเป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และโปร่งใสไม่มีอำนาจใดๆ เข้ามาแทรกแซง เห็นสมควรให้ย้าย ผอ.ขสมก. ออกจากพื้นที่ให้ไปประจำการที่กระทรวงคมนาคม หรือทำเนียบรัฐบาล จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น

หากไม่มีการดำเนินการใดๆ สร.ขสมก. จะมีมาตรการเคลื่อนไหวต่อไป เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ ขสมก. และของรัฐ ตามสิทธิของกฎหมายต่อไป