เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่รัฐสภา นายสฤษดิ์ บุตรเนียร รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน รวมทั้งมาตรการเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ คนที่สอง พร้อมด้วย น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน โฆษก กมธ. และนายดิเรก จอมทอง เลขานุการ กมธ. แถลงข่าวเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่า
โดยนายสฤษดิ์ กล่าวว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบให้ตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืนฯ ซึ่ง กมธ. ได้มีการประชุม โดยเชิญหน่วยงานราชการ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วมประชุมแล้ว 31 ครั้ง ได้ลงพื้นที่ติดตามและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาช้างป่า 12 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ชลบุรี ระยอง สระแก้ว ตราด กาญจนบุรี นครราชสีมา ยะลา นราธิวาส และสุราษฎร์ธานี
“ทั้งนี้พบว่าสถิติความเสียหายโดยเฉพาะจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากช้างป่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปีงบประมาณ 2567 มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 34 ราย เสียชีวิต 39 ราย ซึ่งเป็นสถิติผู้เสียชีวิตจากช้างป่าสูงสุดในประเทศไทย ตั้งแต่มีการจดบันทึกไว้ และในปีงบประมาณ 2568 ถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 3 ราย เสียชีวิต 7 ราย เป็นการเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 1-15 ธ.ค. 2567 ถึง 4 ราย ในจำนวนนี้เป็นเหตุเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง สะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงและผลกระทบที่ทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างจริงจัง ในการติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน” นายสฤษดิ์ กล่าว
นายสฤษดิ์ กล่าวว่า กมธ. ได้ให้ความสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคน และความปลอดภัยของช้างป่า จึงขอเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1. การแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบหลักเกณฑ์และมาตรการเยียวยาความเสียหายจากภัยช้างป่าให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วยการจัดทำบัญชีการชดเชยความเสียหายของพืชผลการเกษตร ทรัพย์สิน และการบาดเจ็บ ทุพพลภาพหรือเสียชีวิตจากช้างป่าเป็นกรณีเฉพาะที่แยกจากสาธารณภัยทั่วไป 2. การควบคุมจำนวนประชากรช้างป่าด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อชะลอการเกิดเป็นการชั่วคราว โดยไม่มีผลกระทบต่อตัวช้างป่า การติดตามด้านสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ การสร้างแหล่งอาหาร แหล่งน้ำให้มีความเหมาะสมกับประชากรช้างป่าในแต่ละกลุ่มป่า
3. การติดตามโครงการก่อสร้างแบริเออร์พร้อมถนนตรวจการณ์เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับการพัฒนาคุณภาพของแบริเออร์ที่เหมาะสมในการป้องกันไม่ให้ช้างป่าออกมาจากป่าอนุรักษ์ 4. การพัฒนาและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยช้างป่าออกจากป่าอนุรักษ์ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยจากช้างป่าได้รับการเตือนภัยผ่านแอปพลิเคชันที่เหมาะสมแบบทันทีทันใด (Real-time) 5. การผลักดันให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานระดับชาติที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ให้มีกระบวนการแก้ปัญหาและมีผู้รับผิดชอบที่เหมาะสมอย่างบูรณาการตั้งแต่ระดับนโยบายจากส่วนกลางไปจนถึงระดับปฏิบัติการ
นายสฤษดิ์ กล่าวต่อว่า 6. การติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานและอุปสรรคปัญหาจากการถ่ายโอนภารกิจและการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 7. การผลักดันให้มีการจัดตั้งกองทุนและการเปิดรับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาคธุรกิจเพื่อนำรายได้มาส่งเสริมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาช้างป่า 8. การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวช้างป่าเชิงอนุรักษ์เพื่อสร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม
นายสฤษดิ์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กมธ. เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ ดังนี้ 1. ขอให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งรัดการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน และเร่งให้ความรู้ถึงพฤติกรรมของช้างแก่ประชาชน 2. ขอให้ รมว.มหาดไทย กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดที่มีปัญหาช้างป่า ให้ดูแลและเฝ้าระวังกรณีช้างป่าดุร้ายในช่วงฤดูหนาว หรือช่วงปลายปี เนื่องจากช้างป่าจะมีภาวะตกมัน.