เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568 ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร และนายชยพล สท้อนดี สส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะ กมธ.การทหาร ร่วมกันแถลงผลประชุมคณะ กมธ.การทหาร
โดยนายชยพล กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กมธ.การทหาร มีการพิจารณายอดกำลังพล ซึ่งได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับยอดกำลังพลชั้นนายพล ว่าเรามีนายพลกี่นาย เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาว่าจะมีการปรับขนาดกองทัพอย่างไร ซึ่งกองทัพมีหนังสือตอบกลับมาว่า ยอดกำลังพลชั้นนายพล เป็นเอกสารลับ ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยกับ กมธ. ได้ จึงอยากทำความเข้าใจว่าการจัดลำดับชั้นเอกสารมันจัดเป็นอย่างไรภายในกระทรวงกลาโหม เพราะที่ผ่านมา เราจะเห็นข้อมูลลับต่าง ๆ ที่ไม่ควรลับ แต่อยู่ในเอกสารที่ถูกตีหัวข้อว่า เอกสารลับ ทำให้เราไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลการทำงานของกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายชยพล กล่าวว่า ซึ่งวันนี้ กมธ.การทหาร มีความตั้งใจเชิญกองทัพ เข้ามาชี้แจงหลักการและเหตุผลในการจัดลำดับชั้นของความลับเอกสาร แต่ทางหน่วยงานกองทัพตอบกลับมาว่า ขอเลื่อนไปก่อน ทำให้วันนี้ไม่สามารถพิจารณาในเรื่องดังกล่าวได้ รวมทั้งอยากทำความเข้าใจถึงหลักการลำดับชั้นความลับ เพราะที่ผ่านมา เคยเกิดปัญหาการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการล่มของเรือหลวงสุโขทัย และรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุการล่ม ซึ่งไม่ได้มีการชี้แจงจากทางกองทัพ โดยระบุเพียงว่า เป็นเอกสารลับ หรือไม่พร้อมที่จะชี้แจง รวมทั้งประเด็นเรือดำน้ำ การดึงเหตุผลมากมายว่าเป็นข้อมูลลับ ทำให้เราไม่สามารถพิจารณาถึงข้อเท็จจริงได้ เราจึงอยากทำความเข้าใจในวันนี้ แต่ทางกองทัพไม่เห็นความสำคัญที่มากพอและในความพร้อมที่จะมาคุยกับ กมธ. ในวันนี้
ด้านนายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา เหตุผลว่า “ลับ” จะถูกกองทัพใช้ตลอด เมื่อเวลาเราขอข้อมูลหรือเอกสารต่าง ๆ จนกระทั่งคณะ กมธ.การทหาร ตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า “ลับ” มันมีมาตรฐานของคำว่าลับหรือไม่ เพื่อเป็นการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาบางคน ว่า เรื่องใดไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ ก็ให้ใช้เหตุผลคำว่า “ลับ” มาอ้าง เพื่อหลบเลี่ยงการให้ข้อมูลและการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน วันนี้ คณะ กมธ.การทหาร เราได้ขอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และประชาชนตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอด ทั้งรายงานการสอบสวนการอับปางของเรือรบสุโขทัย แต่เดิม พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เคยเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อรายงานการสอบสวนแล้วเสร็จจะเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ปัจจุบันทางคณะ กมธ.การทหาร ทำหนังสือขอกองทัพเรือข้ามรุ่น ผบ.ทร. จนมาถึงปัจจุบัน พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้รับหนังสือจาก กมธ. มากกว่า 7 ฉบับ แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงและไม่เคยได้เอกสารใด ๆ กลับมาทางคณะ กมธ. เลย
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า รวมถึงกรณีเรือดำน้ำที่ไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนด ว่าตกลงแล้วประเทศไทยได้รับการชดเชยเป็นเงินเท่าไหร่ รวมถึงการเจรจาเป็นอย่างไร และเราจะเดินหน้าต่อในเรื่องนี้อย่างไร ก็ไม่เคยได้รับเอกสารใด ๆ จากทางกระทรวงกลาโหมหรือกองทัพเรือเลย จะได้รับเพียงเหตุผลว่า “ลับ” ตลอดเวลา จนสงสัยว่า แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าถึงชั้นความลับอะไรได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการประชุมวาระอื่นที่เลื่อนขึ้นมานั้น วันนี้มีหนังสือออกไป 2 ฉบับอย่างแน่นอน ประกอบด้วย 1.คณะกมธ.การทหาร จะขอมติทำหนังสือถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในมาตราที่ 32 ให้ ป.ป.ช. ทบทวนตรวจสอบระเบียบเกี่ยวกับเอกสาร หรือ ชั้นความลับของกระทรวงกลาโหมว่ามีมาตรฐานถูกต้องหรือไม่
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งหากเอกสารระเบียบชั้นความลับไร้มาตรฐาน หมายความว่าการตรวจสอบความโปร่งใสและการทุจริตในการใช้งบประมาณในการดำเนินการใดๆ ของกองทัพ จะไม่สามารถตรวจสอบได้ และจะเอื้อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นแบบที่ตรวจสอบไม่ได้ ทั้งนี้ จะทำหนังสือถึงคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารทางราชการตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ มาตรา 28 และมาตรา 13 เพื่อให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเข้าไปตรวจสอบว่าการบริหารเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของกระทรวงกลาโหม ใช้คำว่า ลับ ไปหมดเลยใช่หรือไม่ ซึ่งมันต้องมีมาตรฐานว่า ลับมากน้อยแค่ไหน หากไม่มีมาตรฐานอะไรเลย จะลับ หรือไม่ลับ มันก็อยู่ที่ใจของคน เนื่องจากประเทศนี้ไม่สามารถตรวจสอบกันได้