กลับมาเป็นประเด็นที่สังคมให้ตามติดอีกครั้ง หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงความคืบหน้าคดีฟอกเงิน กรณีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดย “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดีดีเอสไอ แจกแจงว่า ในส่วนที่ดีเอสไอรับผิดชอบจะมีอยู่ 2 คดี นั่นก็คือ คดีการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งคดีดังกล่าว ทางดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่มีผู้ร้องเรียนมาที่ดีเอสไอเป็นจำนวนมาก ส่วนอีกคดีหนึ่งคือคดีอั้งยี่ซ่องโจร ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินในการเลือก สว. ซึ่งดีเอสไอได้รับสำนวนมาจากพนักงานสอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี และ สภ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ซึ่งทางดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้

ด้าน “พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ” รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงแรกรกของคดีนี้ ทางดีเอสไอได้ร่วมกับทางเจ้าหน้าที่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสอบสวนพยานบุคคลร่วมกับพนักงานอัยการ เพื่อประหยัดเวลาในการสอบปากคำพยานพร้อมกันทีเดียว แต่การทำงานเป็นการแยกสำนวนคดีกัน เพราะ กกต. ก็จะทำในส่วนเรื่องของการฮั้วการเลือก สว. แต่ดีเอสไอจะทำสำนวนในเรื่องการฟอกเงินและอั้งยี่ซ่องโจร โดยที่ผ่านมาได้สอบปากคำเรื่องขบวนการฟอกเงิน 30 ปาก ซึ่งการสอบปากคำมีทั้งการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ข้อมูลทางโทรศัพท์และใช้เอไอ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมบุคคล ทั้งนี้ พยานบุคคล 30 ปาก ที่สอบปากคำไปนั้น เป็นพยานกลุ่มที่รู้เห็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งขอสงวนว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่ในรายชื่อหมื่นกว่าราย ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่
นอกจากนี้ วันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา ทางดีเอสไอได้นัดหมายให้คณะพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ สังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าไปยังเมืองทองธานี เพื่อตรวจสอบสถานที่เลือก สว. จริง พร้อมทั้งจำลองทำแผนที่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันเลือก สว. เพื่อมาเป็นข้อมูลประกอบสำนวนคดีฟอกเงินและอั้งยี่ซ่องโจร

ก่อนหน้านั้นมี “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม เคยให้ความเห็นถึงการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ในส่วนของคดีฟอกเงิน ที่อยู่ระหว่างสอบสวนของดีเอสไอ ว่า พนักงานสอบสวนคดีนี้รายงานว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าพอสมควร ซึ่งอยากทำให้ทันภายในกรอบเวลา ซึ่งอาจจะเป็นสิ้นเดือน เม.ย. นี้ ที่จะต้องมีกระบวนการการแจ้งข้อกล่าวหา หรือจับกุม จะส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้อง ซึ่งทีมสอบสวนมีกรอบเวลา เช่นเดียวกันกับคดีที่ทางดีเอสไอ ไปดำเนินการสอบสวนร่วมกับ กกต. ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องของข้อมูล เช่นข้อมูลผู้สมัครกว่า 40,000 คน ก็ได้มาแล้ว
ดังนั้นคงต้องรอดูว่า สิ้นเดือน เม.ย. จะเห็นความชัดเจนในกระบวนการสอบสวน การเลือก สว. ว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งจะมีผลในทางการเมืองพอสมควร

ไม่รู้จะเป็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นใน มวลหมู่ “สว.สีน้ำเงิน” หรือไม่ หลังนายสรชาติ วิชยสุวรรณพรหม สว. ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ของวุฒิสภา ออกมาเตือนนายวีระพันธุ์ สุวรรณามัย สว. ในฐานะประธาน กมธ. ว่าการเชิญคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้ามาชี้แจงเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงแบบครบวงจร ไม่ได้เป็นมติของ กมธ. และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ซึ่งอาจเป็นการก้าวก่ายงานบริหาร ผิดข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา โดยอ้างอิงว่า กมธ. ที่เป็นนักวิชาการหลายคนก็รับรู้รับทราบ แต่ไม่อยากที่จะพูด และขอเตือนในฐานะนักการเมืองมืออาชีพ เตือนนักการเมืองรุ่นใหม่ที่อยากเป็นประธาน
“ตามที่หมอวีไปก้าวก่ายจะเรียกคนนั้นคนนี้มา ไม่ใช่มติของที่ประชุม เป็นความเห็นส่วนตัว ถ้าโดนเรื่องการก้าวก่ายงานบริหาร ให้หมอวีโดนคนเดียว และคนที่สองที่โดนคือประธาน มงคล สุระสัจจะ เพราะเป็นคนส่งหมอวีมาเป็นประธาน โดยไม่ดูข้อบังคับ กฎหมายของวุฒิสภา” นายสรชาติ กล่าว
นายสรชาติ กล่าวอีกว่า ขอแนะนำให้นายวีระพันธุ์ ไปดูข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ข้อ 38 ซึ่งเป็นญัตติในการตั้ง กมธ.ชุดนี้ ส่วนญัตติของนายวีระพันธุ์ วุฒิสภาได้รับและส่งให้ฝ่ายบริหารไปแล้ว รวมถึงญัตติของนางนันทนา นันทวโรภาส ที่ส่งรัฐบาลไปแล้วเช่นกัน เรื่องการทำประชามติ โดยย้ำว่าการประชุมนัดแรก เป็นการเสวนาพูดคุย เรื่องกรอบการทำงานเท่านั้น จึงฝากไปยังประธานวุฒิสภาและวิปวุฒิสภา ที่จะต้องเข้าใจในข้อกฎหมายด้วย

“ไม่ใช่มติที่จะเชิญใครเข้ามาชี้แจง และการทำหน้าที่ของ กมธ. ตามข้อ 38 คือจะต้องคุยเรื่องกรอบการทำงาน ว่าจะศึกษาเรื่องอะไรบ้าง ทำเค้าโครงเหมือนงานวิจัย และระบุว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไร และรายงานต่อวุฒิสภาได้เมื่อไร นั่นคือหน้าที่และอำนาจของการตั้งญัตติตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา” นายสรชาติ กล่าว
สำหรับตำแหน่งต่างๆ ใน กมธ. ประกอบด้วย นายวีระพันธ์ สุวรรณามัย เป็นประธาน นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สว. เป็นรองประธานคนที่ 1 นายนิพนธ์ เอกวานิช สว. เป็นรองประธานคนที่ 2 นายประเทือง มนตรี สว. เป็นรองประธานคนที่ 3 น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว. เป็นรองประธานคนที่ 4 น.ส.อัจฉรพรรณ หอมรส สว. เป็นเลขานุการ กมธ. น.ส.กัญญารัตน์ โคตรภูเขียว นักวิชาการนิติศาสตร์ เป็นรองเลขานุการ นายแสนศักดิ์ ศิริพานิช นักวิชาการ เป็นรองเลขานุการ และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สว. เป็นโฆษก
ก่อนหน้านั้นมีข่าวว่า “นายสรชาติ” ถือเป็นแคนดิเดตคนหนึ่ง ที่หวังจะได้เป็นประธาน กมธ. พอมีโหวตลงคะนน กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับนายวีระพันธุ์ ดังนั้นการออกมาส่งสัญญาณเตือนนายวีระพันธ์ุ ไปเต็มๆ อาจเป็นความไม่พอใจจากเรื่องตำแหน่งประธาน กมธ.

ต้องถือว่ากรรมเก่ายังตามหลอน โดยเฉพาะบุคคลที่เคยตกเป็นนักโทษ ในคดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่เชื่อมโยงกับโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ “นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล” รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะรองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด “นายภูมิ สาระผล” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สส. (วาระปี 2554) และ รมช.พาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ มูลค่ารวม 19,947,750 บาท ซึ่งอยู่ในการถือครองของนางอรอนงค์ สาระผล คู่สมรส น.ส.ภณิดา สาระผล และนายภพพล สาระผล บุตร พร้อมกันนี้ได้ส่งอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
ก่อนหน้านี้นายภูมิ เพิ่งพ้นโทษจากคดีร่วมกันทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 36 ปี โดยได้รับโทษจำคุกมาแล้ว 7 ปี โทษสุดท้ายเหลือ 8 ปี และได้รับการปล่อยตัวพักโทษตั้งแต่เดือน ก.ย. 67 และจะครบกำหนดการคุมประพฤติในวันที่ 25 ส.ค. 68
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหา ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่กรณี ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหา ได้ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามนัยมาตรา 125 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมเอกสารหลักฐานให้สำนักงาน อสส. แล้ว

ก่อนหน้านั้นมีข่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้สั่งการให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเชิงลึก เพื่อเช็กเส้นทางการเงินว่า มีส่วนไหนมาจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว หรือระบายข้าวจีทูจีหรือไม่ สำหรับนายภูมิ ถือเป็นรายแรกที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดข้อหาร่ำรวยผิดปกติจากเหตุดังกล่าว

ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.นครศรีธรรม เขต 8 แทนตำแหน่งที่ว่างลง หลัง “นางมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” อดีต สส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถูกศาลฎีกา เพิกถอนสิทธิสมัคร สส. จากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในการหาเสียงเมื่อปี 2566 โดยกำหนดหย่อนบัตรวันที่ 27 เม.ย. 68 ซึ่งมีผู้สมัครประกอบด้วย เบอร์ 1 นายไสว เลื่องสีนิล พรรค ภท. ลงสมัครทวงเก้าอี้คืนให้ภรรยาที่โดนเพิกถอนสิทธิ เบอร์ 2 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส. 9 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ส่งประกวด เบอร์ 3 นายณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง พรรคประชาชน (ปชน.) เบอร์ 4 ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง พรรคพร้อม, เบอร์ 5 นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ อดีตสมาชิกองค์การบริหารองค์การส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นครศรีธรรมราช พรรคกล้าธรรม (กธ.) เบอร์ 6 นายพิษณุ รสมาลี พรรคทางเลือกใหม่

ใกล้ช่วงถึงวันกาบัตร หลายพรรคการเมืองทั้ง ภท. กธ. และ ปชป. ต่างจัดปราศรัย เพื่อหวังช่วงชิงคะแนนเสียงของประชาชน แม้จะเป็นเก้าอี้เดียว แต่ก็มีความหมายสำหรับพรรคการเมือง ที่ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน พรรค ภท. ต้องการรักษาที่นั่งเดิมไว้ ส่วนพรรค กธ. ต้องการปักธงใน สส. พื้นที่ภาคใต้เป็นคนแรก ส่วนพรรค ปชป. ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม แม้จะยังมี สส. มากกว่าพรรคการเมืองอื่น แต่ก็ถดถอยไปมากพอสมควร ดังนั้นจึงหวังกับการคว้าชัยชนะครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น ส่วนแกนนำพรรคฝ่ายค้าน “ปชน.” ก็หวังเป็นตาอยู่ หากพรรคร่วมรัฐบาลตัดคะแนนเสียงกันเอง ดังนั้นผลการเลือกตั้งจึงเป็นที่จับตามอง เพราะจะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า และยังสร้างขวัญและกำลังใจ ให้กับพรรคที่ส่งสมาชิกลงสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งนี้
“ทีมข่าวการเมือง”