เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในลักษณะ “จดหมายเปิดผนึก” ถึงว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เนื่องจากการเมืองไทยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีผลต่อทิศทางด้านการศึกษาโดยตรง

โดยนายสุชชวีร์ ระบุว่า

“จดหมายเปิดผนึก” ถึง ว่าที่ “รมว.ศึกษาธิการ” และ ว่าที่ “รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม”

สถานการณ์การเมืองไทย ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจุดเปลี่ยนหลายประการ รวมทั้งการปรับ ครม. ซึ่งรวมถึง กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ

ประเทศไทยใช้ “รัฐมนตรีศึกษาฯ” เปลืองที่สุด เพราะ 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้รัฐมนตรีศึกษาฯ ไปเกือบ 20 คน พิสูจน์ “ความไม่ใส่ใจ” และ “ไม่ให้ความสำคัญ” กับการศึกษาไทย

ผมจึงขอแสดงความห่วงใย 3 ประการ ส่งไปถึง “ว่าที่ รมว.ศึกษาธิการ” และ “ว่าที่ รมว.การอุดมศึกษาฯ”

1. ทิศทางใหม่ “กระทรวงด้านการศึกษา คือ กระทรวงเศรษฐกิจ”

ไทยกำลังเจอ “วิกฤติ” ทาง “เศรษฐกิจ” ที่แข่งขันกันด้วยการผลิต และการบริการทางเทคโนโลยี “มูลค่าสูง” หากไทยไม่ปรับตัว ไม่เรียนรู้ เราคงต้องรั้งท้ายแถวของเอเชีย

เพราะ โลกวันนี้ เน้นการสร้าง “ทรัพยากรมนุษย์” ที่มีทักษะสูง เพื่อขับเคลื่อน “อุตสาหกรรมใหม่” สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจเพิ่ม

ดังนั้น “การศึกษา คือ เศรษฐกิจ” ไม่ใช่แค่เพียง “สวัสดิการสังคม” ประเทศใดให้การศึกษาที่ดี ประเทศนั้นย่อมมีพลเมืองเก่ง มี “คุณภาพ” สร้างรายได้สูง คุณภาพชีวิตดี

ผู้นำกระทรวงศึกษาฯ และผู้นำกระทรวงการอุดมศึกษาฯ  ต้อง “ทำงานร่วมกัน” อย่างมี “เป้าหมายเดียวกัน” คือ การสร้างคนไทยคุณภาพ ทันโลก แข่งขันได้ และมีความสุข

กระทรวงต้องสร้างความร่วมมือ “รัฐและเอกชน” ในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ “ปรับหลักสูตร” ทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เพื่อตอบโจทย์ “เศรษฐกิจโลก”

ทั้งต้อง “จริงจัง” กับปัญหาความอ่อนแอ ด้าน “คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ” ของเด็กไทย เพื่อ “ก้าวใหม่” ให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ที่วันนี้เข้าสู่ยุค AI ก่อนจะสายเกินไป กลายเป็น “ผู้แพ้” ไม่ก้าวสู่ “ประเทศพัฒนาแล้ว” เสียที

2. คิดใหม่ “การศึกษา คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต”

“สังคมสูงวัย คือ เรื่องจริง” วิกฤติจริง เพราะคนวัยทำงานลดลง แต่มีภาระการดูแลสังคมมากขึ้น หนทางแก้ไข คือ การยืดอายุวัยทำงานให้นานขึ้น เพราะ “ผู้สูงวัยยังมีคุณค่า” ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ทุกประเทศพัฒนาแล้ว เน้นการ “เพิ่มทักษะใหม่” ให้แก่พลเมืองทุกวัย ยิ่งวันนี้ “เด็กเกิดน้อย” โรงเรียนว่าง มหาวิทยาลัยว่าง เพราะจากข้อมูลปีนี้มีเด็กเกิดเพียงไม่ถึงห้าแสนคน หายไปกว่าครึ่งจากรุ่นพ่อแม่ ทั้งสถิติการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงที่ผ่านมา มีที่นั่งมากกว่าคนสมัครเข้าเรียน ทำให้กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ใช้ทรัพยากร “ไม่คุ้มค่า”

ดังนี้น โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ต้องปรับบทบาทจาการเรียนการสอนให้แก่เด็ก สู่การเรียนการสอน “ผู้ใหญ่” ที่เปิดโอกาสและสนับสนุนให้คนวัยทำงาน และผู้สูงวัย ได้เข้ามาเรียน “ทักษะใหม่” เพื่อทำงานได้

ทั้งการจ้างงาน “ผู้สูงวัย” คือ เรื่องจำเป็น จะช่วยแก้ปัญหา “สุขภาพ” จนถึงแก้ปัญหา “รายได้” เพราะหากแข็งแรงขึ้น พึ่งพาตนเองได้ ก็ลดภาระของรัฐ

3. ความจริง “ครู คือ ศูนย์กลางของห้องเรียน”

เพราะ ครู คือ ผู้นำ ครูดี เด็กก็ดี ครูมีความสุข เด็กก็มีความสุข ผมในฐานะ “ลูกครู” และ “เป็นครู” จึงเข้าใจ รู้ซึ้งว่า ชีวิตครูไทยนั้นไม่ง่าย

สังคม “คาดหวัง” กับครูได้ แต่ก็ต้อง “สนับสนุนครู” อย่างเต็มที่ ด้วยเช่นกัน

กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ มีหน้าที่ “สนับสนุนครู อาจารย์” เพราะครูแต่ละระดับ ต้องดูแลเด็ก แตกต่างกัน “ครูอนุบาล” เป็นเหมือนพ่อแม่ “ครูประถม” ปลูกฝังพื้นฐาน “ครูมัธยม” เตรียมเด็กสู่วิชาชีพ “ครูอาชีวะ” สร้างทักษะอาชีพ “ครูมหาวิทยาลัย” สร้างวิชาชีพขั้นสูง และวิจัยพัฒนา

ผู้นำกระทรวง จึงต้องเข้าใจครู ถึงจะสามารถผลักดันนโยบาย สู่การเปลี่ยนแปลงได้

ทั้งเรื่องปัญหา “ภาระงานล้นครู” กลายเป็นครูต้องทำงาน “โครงการ” ตามนโยบายใหม่ ของรัฐมนตรีใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนแทบทุกปี มากกว่า “การสอนหนังสือ” และ “การพัฒนาตนเอง”

แม้ว่า “การประเมินการเรียนการสอน” คือ สิ่งจำเป็น แต่ต้องประเมิน “สมรรถนะ” เน้นคุณภาพ มากกว่าปริมาณ คืนเวลาครูให้กับนักเรียน และคืนเวลาครูให้กับการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ ท่านว่าที่รัฐมนตรีศึกษาฯ และท่านว่าที่รัฐมนตรีการอุดมศึกษาฯ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อ “ส่วนรวม” และขอให้ท่านตระหนักว่า ท่านกำลังทำหน้าที่เพื่อ “ความอยู่รอด” ของลูกหลานไทย และชี้นำ “อนาคตไทย”