นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า กทท. ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาการจราจรใน ทลฉ. โดยได้ระดมสมองผู้ประกอบการขนส่ง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา และทบทวนมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุง และผลักดันการดำเนินการให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งตู้สินค้าผ่าน ทลฉ. ใน 5 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 914,769 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้นกว่า 10% ซึ่งการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้รถบรรทุกหนาแน่น และจราจรติดขัดรุนแรงเกินโครงสร้างพื้นฐานที่ ทลฉ. รองรับได้ในปัจจุบัน รวมทั้งยังเกิดปัญหาเรือดีเลย์ และตู้สินค้าคงค้างอีกจำนวนมาก

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า คาดว่าปี 2568 จะมีรถบรรทุกใช้บริการ ทลฉ. กว่า 5.4 ล้านคัน เฉลี่ย 15,000 คัน/วัน และอาจสูงสุดถึง 20,000 คัน/วัน 820 คัน/ชั่วโมง ที่ผ่านมา กทท. ได้วางแนวทางแก้ไขปัญหา และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านนโยบาย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านกฎหมายและด้านอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้นำมาสู่มาตรการในระยะต่างๆ ได้แก่ มาตรการเร่งด่วน จัดสรรพื้นที่ 70 ไร่ และ 22 ไร่ เพื่อรองรับรถบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มพื้นที่ภายในศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟเพื่อวางตู้สินค้าขาออก ซึ่งจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้เพิ่มอีก 19,410 TEUs นอกจากนี้ ยังนำระบบ IT มาใช้ในการบริหารจัดการ เช่น พัฒนา Mobile Application เพื่อบริหารจัดการจราจร และบังคับใช้ระบบบริหารจัดการคิวรถบรรทุกสินค้าเข้าออกที่ท่าเรือแหลมฉบัง (LCP Truck Queue) โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดภายในเขตท่าเรือ 100% ภายในเดือน ส.ค. 2568  

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า กทท. ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ กรมศุลกากร เพื่ออนุญาตให้จัดเก็บตู้สินค้าขาเข้านอกเขตท่าเทียบเรือเป็นการชั่วคราว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจปล่อยสินค้าให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง เร่งเปิดช่องทางเข้า-ออกใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพการจราจร เพื่อลดความแออัดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง สำหรับการอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม กทท. ได้จัดห้องสุขาเคลื่อนที่เพิ่มเติมอีก 12 จุด และจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันได้ดำเนินมาตรการคู่ขนาน โดยเตรียมพื้นที่นอกเขตรั้วศุลกากรกว่า 83 ไร่ สำหรับเป็นจุดพักรถบรรทุก และปรับพื้นที่ว่างในศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟใช้เป็นพื้นที่สำรองจอดรถบรรทุก

สำหรับมาตรการระยะยาว กทท. ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) เร่งจัดทำ Master Plan ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้สอดคล้องกับปริมาณตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเร่งรัดโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ให้สามารถเปิดให้บริการได้ภายในปลายปี 2570 ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างค่าภาระ เพื่อบริหารจัดการตู้สินค้าคงค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายเกรียงไกร กล่าวด้วยว่า จากการประชุมครั้งนี้ มีมติให้เร่งขับเคลื่อน 3 ประเด็นหลักโดยทันที ได้แก่ การผลักดันระบบ LCP Truck Queue 100% ให้สามารถใช้งานได้ตามกำหนด รวมถึงบำรุงรักษาความลึกร่องน้ำให้ได้ระดับความลึกตามที่กำหนดในแต่ละแอ่งจอดเรือ (Basin) เพื่อสนับสนุนห่วงโซ่โลจิสติกส์การนำเข้าส่งออก และการเร่งจัดหาพื้นที่วางตู้สินค้าชั่วคราว เพื่อบรรเทาสถานการณ์ในระยะนี้โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม กทท. หวังว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาจราจรและการบริหารตู้สินค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านเวลา เพิ่มความคล่องตัวในการขนส่งให้กับผู้ประกอบการทุกฝ่าย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่และประเทศโดยรวม