สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ว่าคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (เอฟดีเอ) มีมติเมื่อวันพฤหัสบดี รับรองเป็นกรณีฉุกเฉิน ให้กับการใช้ยารักษาโควิด-19 “โมลนูพิราเวียร์” พัฒนาและผลิตโดยบริษัทเมอร์ค ร่วมกับบริษัทริดจ์แบค ไบโอเทอราพิวติกส์ โดยให้ใช้เฉพาะกับผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 18 ปี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง คือผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบการทำงานของหัวใจ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน


ทั้งนี้ ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ควรได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ ตามเงื่อนไขของเอฟดีเอ ควรเป็นผู้ที่ไม่สามารถรับการรักษาด้วยวิธีการแบบอื่น หรือด้วยยาชนิดอื่นซึ่งเอฟดีเอกำหนดไว้ ขณะที่การห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รับยาตัวนี้ เนื่องจากอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก


แม้เอฟดีไอไม่ได้ตั้งเงื่อนไขนี้กับยา “แพกซ์โลวิด” ของบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งเป็นยาเม็ดรัดษาโควิด-19 รายการแรก ที่เอฟดีเออนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉินเช่นกัน และให้ใช้ได้กับผู้มีอายุตั้งแต่ 12 ปี เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ระบุว่า ผู้ป่วยโควิด-19 “บางกลุ่ม” ไม่ควรรับยาแพกซ์โลวิด ซึ่งรับประทานร่วมกับยาริโทนาเวียร์ ที่อาจมีผลต่อส่วนผสมบางอย่างของยาชนิดอื่น และผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับไต ควรหลีกเลี่ยงการรับยาแพกซ์โลวิดไปก่อน


สำหรับราคาของยาทั้งสองแบบโดยอ้างอิงตามสัญญาของรัฐบาลสหรัฐนั้น ยาแพกซ์โลวิด ให้รับประทานทุก 12 ชั่วโมง ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน นับตั้งแต่ติดเชื้อ สนนราคาชุดละ 530 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,770.64 บาท) ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์มีราคาแพงกว่า คือชุดละประมาณ 700 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 23,470.65 บาท) รับประทานวันละ 8 เม็ด ภายในเวลา 5 วันแรก นับตั้งแต่ติดเชื้อ.

เครดิตภาพ : AP