สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ว่าคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติของคาซัคสถานเผยแพร่แถลงการณ์ เมื่อวันเสาร์ เรื่องการจับกุมนายคาริม มาสซิมอฟ อดีตประธานคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ ฐานต้องสงสัยเป็นกบฏ โดยยังไม่มีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก แต่มาสซิมอฟเข้าร่วมการประชุมกับประธานาธิบดีคาสซิม โจมาร์ต-โทคาเยฟ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา และหลังจากนั้น “ถูกปลด”


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐประกาศการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่การทูตชาวอเมริกันประจำสถานเอกอัครราชทูต ในกรุงนูร์สุลต่าน และสถานกงสุลใหญ่ประจำเมืองอัลมาตี ซึ่งไม่มีกิจธุระเร่งด่วน สามารถเดินทางกลับได้ตามความสมัครใจ ส่วนผู้ที่สมัครใจอยู่ต่อ รวมถึงพลเมืองซึ่งกำลังท่องเที่ยวอยู่ในคาซัคสถาน ขอให้ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง

ทหารคาซัคสถานตั้งจุดตรวจ บริเวณทางเข้าท่าอากาศยานนานาชาตินูร์สุลต่าน นาซาร์บาเยฟ ในเขตชานกรุงนูร์สุลต่าน


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น ในเวลาเดียวกับที่โทคาเยฟยืนยัน “ไม่เจรจาอย่างเด็ดขาดกับฝ่ายต่อต้าน” โดยยืนกรานว่า บรรดาผู้ก่อความไม่สงบต้องวางอาวุธสถานเดียว ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวในเชิงไม่พอใจ ต่อการที่คาซัคสถานขอความสนับสนุนทางทหารจากองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม (ซีเอสทีโอ) ซึ่งมีรัสเซียเป็นหัวเรือใหญ่ ว่ารัฐบาลวอชิงตัน “ไม่เข้าใจ” ว่าเพราะเหตุใด ทางการคาซัคสถานจึงต้องการ “ความช่วยเหลือจากภายนอก”


ทั้งนี้ รายงานของกระทรวงมหาดไทยคาซัคสถานระบุว่า มีผู้ประท้วงเสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเสียชีวิตอย่างน้อย 18 ราย และมีการจับกุมผู้ก่อความไม่สงบมากกว่า 3,000 คน โดยชนวนเหตุของการลุกฮือมาจากความไม่พอใจราคาเชื้อเพลิงที่แพงขึ้น แล้วบานปลายกลายเป็นการขับไล่รัฐบาลของโทคาเยฟ ทายาทการเมืองของนายนูร์สุลต่าน นาซาร์บาเยฟ ผู้นำคนแรกของคาซัคสถาน ซึ่งผูกขาดการปกครองประเทศยาวนาน 3 ทศวรรษ จนกระทั่ง “สละอำนาจผ่านการเลือกตั้ง” เมื่อปี 2562.

เครดิตภาพ : REUTERS