เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “มองรอบด้าน : ประเทศไทยพร้อมแล้วหรือที่จะตัดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด” โดย รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผอ.ศศก. กล่าวว่า ตนไม่คัดค้านที่จะให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ได้ แต่ไม่เห็นด้วยที่จะปลดกัญชาออกจากยาเสพติดทั้งหมด เพราะปัจจุบันยังมีรายงานผู้ที่ได้รับอันตรายต่อสุขภาพจากการใช้กัญชา โดยเฉพาะสาร THC ที่มีผลกระทบต่อการทำงานหลายระบบในร่างกายโดยเฉพาะสมอง ที่น่ากังวลคือปัญหาโรคจิต อาการทางจิต ไบโพลาร์ กัญชาจะทำให้มีอาการกำเริบได้ ทั้งนี้จากการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 ของคณะกรรมการบริหารเครือข่ายวิชาการยาเสพติด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พบคนไทยอายุ 12 ปีขึ้นไป มีการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น 3.5-3.6 เท่าจากปี 2559 หลังการอนุญาตให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ได้ สอดคล้องกับข้อมูลของ ศศก.ที่พบว่ามีการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการกว่า 1 ล้านคน ถือว่าสูงมาก ขณะที่ต่างประเทศทำการมอนิเตอร์มา 10 ปี พบว่ามีการใช้ THC ในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

รศ.ดร.ภญ.จุฑามณี สุทธิสีสังข์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อันตรายจากสาร THC มีตั้งแต่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองสั่งการช้าลง เซื่องซึม การตัดสินใจช้าลง เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางถนนและจากการทำงานที่ใช้เครื่องจักร และยังไปเพิ่มโดปามีนในสมองบางส่วนส่งผลเกิดอาการคล้ายโรคจิต เห็นภาพหลอน หวาดระแวง เป็นต้น หากปลดล็อกทุกอย่างเสี่ยงที่จะมีการใช้ในทางที่ผิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เช่นเป็นสูตรผสมสารเสพติดอื่น ๆ โดยเฉพาะการใช้ในกลุ่มวัยรุ่นอย่างต่อเนื่องพบว่าจะทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ (IQ) ลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งค่อนข้างอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ รายงานในต่างประเทศพบว่าการใช้กัญชาที่ไม่ใช่ทางการแพทย์เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ สารในกัญชา เช่น CBD มีการทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคหลายชนิดมาก โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่ใช้ทำลายยาอื่นโดยเฉพาะยายับยั้งการแข็งตัวของเลือด จะมีโอกาสเพิ่มอาการข้างเคียงจากเลือดหยุดไหลยากได้

“ส่วนตัวไม่ได้คัดค้านการใช้กัญชาทางการแพทย์ แต่การจะปลดออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ตนยังไม่เห็นด้วย ต้องคิดให้รอบคอบ เพื่อเป็นการคุ้มครองคนไทย โดยรวมจริง ๆ การคุมสารสกัด THC ไม่ให้เกิน 0.2% ถามว่าในชีวิตจริง หน่วยงานใดจะสามารถตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที และครอบคลุมทั้งประเทศ” รศ.ดร.ภญ.จุฑามณี กล่าว

ด้าน ศ.นพ.มานิต ศรีสุรภานนท์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า THC ในกัญชามีผลทำให้เกิดโรคจิตและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจิตเภท ซึ่งเป็นโรคจิตเรื้อรังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ในปริมาณมาก สำหรับการเผยแพร่ข่าวสารว่า สารสกัดกัญชาช่วยรักษาโรคจิตได้นั้น ตนขอชี้แจงว่ายังมีข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะนำ CBD ใช้ในการรักษาโรคจิต ส่วนสาร THC นอกจากไม่พบว่ามีประโยชน์กับโรคจิตเภทแล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยโรคจิตมีอาการเลวลงด้วย โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วยในการใช้ทางการแพทย์ แต่กรณีที่มี THC เกิน 0.2% ยังต้องถูกควบคุม ดังนั้นอาจนำแนวทางบริหารจัดการยาเสพติดที่มีการนำมาใช้ทางการแพทย์อยู่แล้ว เช่น มอร์ฟีน เมธาโดน มาใช้กับพืชและผลิตภัณฑ์กัญชา.